กริยา 3 ช่อง คือ
คำกริยาในภาษาอังกฤษ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่อง เช่น อดีต ปัจจุบัน อนาคต
และบ่งบอกถึงเหตุการณ์ในเวลาต่างๆด้วยคำใช้แสดงถึงอาการ และช่วงเวลา คือ
คำพูดที่แสดงการกระทำของ ประธาน หรือคำที่ทำหน้าที่ ช่วยคำกิริยา
หากประโยคไม่มีคำกิริยา ความหมายอาจผิดเพี้ยนและไม่ทราบเหตุการณ์ว่า อยู่ในช่วง
อดีต ปัจจุบัน อนาคต เพราะแปลว่าเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์
กริยา 3 ช่อง คือ
คำกริยาในภาษาอังกฤษ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่อง เช่น อดีต ปัจจุบัน อนาคต
และบ่งบอกถึงเหตุการณ์ในเวลาต่างๆด้วย
กิริยาช่องที่
1 ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน หรือเล่าเหตุการณ์ทั่วไป
กิริยาช่องที่
2 ใช้กล่าวถึง/เล่าเหตุการณ์ในอดีต
กิริยาช่องที่
3 ใช้กล่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงไปอย่างสมบูรณ์ ทั้งในปัจจุบันและในอดีต
เรียกว่า "ส่วนสมบูรณ์ของกิริยา"
คำกิริยา
แบ่งออกเป็น 3 ช่อง คือ
1. สหกรรมกิริยา (Transitive Verb) คือ คำกิริยาที่ต้องมีตัวกรรม
ถ้าเกิดไม่มีคำอื่นเข้ามา ความหมายจะไม่สมบูรณ์ เช่น The boy talking with
friend. หมายความว่า เด็กชากกำลังคุยกับเพื่อน คำว่า “talking”
เป็นคำกิริยา บอกให้ทราบว่าขณะนี้ กำลังคุยอยู่ ส่วนคำว่า “with
friend” เป็นตัวกรรม เป็นตัวทำหน้าที่รองรับคำกิริยาให้สมบูรณ์เพราะถ้าใช้คำว่า
talking อย่างเดียว จะไม่รู้ว่า กำลังคุยกับใคร
2.
อกรรมกิริยา (Intransitive
Verb) คือ คำกิริยาที่ไม่ต้องมีตัวกรรม
เพราะความหมายจะสมบูรณ์อยู่แล้ว เช่น The boy run in the forest. ประโยคไม่ต้องมีตัวกรรม
ก็ทำให้ประโยคสมบูรณ์ เพราะคำว่า “run” แปลว่า วิ่ง
ความหมายจึงสมบูรณ์ครบถ้วนไม่ต้องมีตัวมาเติมเต็ม ซึ่งเรียกว่า อกรรมกิริยา
3.
กิริยาช่วย (Helping
Verb หรือ Auxiliary Verb) คือ
กิริยาที่มีหน้าที่ช่วยกิริยาด้วยกัน และยังทำให้ตัวของตัวเองมีความหมายสมบูรณ์
ยิ่งขึ้น
ซึ่ง
3 ส่วนในข้างบนนี้ ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจ ก็จะสามารถ รู้ถึงหลักการของ กริยา 3
ช่อง
หลักการจำ
กริยา 3 ช่อง ง่ายมากเพียงแค่ท่านนึกถึง สูตรคูณณิตศาสตร์ก็สามารถท่องได้
เพราะหลักของ กริยา 3 ช่อง ส่วนใหญ่ออกเสียงคล้ายกัน เพียงแค่เปลี่ยนนิดหน่อย
ซึ่งความหมาย คล้ายกัน
ตัวอย่างกริยา
3 ช่อง ที่ใช้บ่อยในปัจจุบัน
ตารางกริยา
3 ช่อง แบบอปกติ
กริยาแบบอปกติ หรือกริยาผิดปกติ หมายถึง
คำกริยาที่เปลี่ยนแปลงรูปร่างต่างกันทั้ง 3 ช่องบ้าง หรือต่างกันแค่ 2 ช่องบ้าง หรือไม่ต่างกันเลยก็มี
REGULAR
VERB กริยาอปกติ |
||||
No |
ช่อง 1 |
ช่อง 2 |
ช่อง 3 |
แปล |
1 |
be = is, am, are |
was, were |
been |
เป็น อยู่ คือ |
2 |
become (บิคั๊ม) |
became (บิเค๊ม) |
become |
กลายเป็น |
3 |
begin (บิกิ๊น) |
began (บิแก๊น) |
begun (บิกั๊น) |
เริ่มต้น |
4 |
bet เบ็ท |
bet เบ็ท |
bet |
พนัน |
5 |
bite ไบท |
bit บิท |
bitten (or bit) บิทเทิน |
กัด |
6 |
bleed บลีด |
bled เบล็ด |
bled |
เลือดออก |
7 |
blow บโล |
blew บลู |
blown บโลน |
พัด เป่า ตี |
8 |
break เบรก |
broke บโรค |
broken บโรคเคิน |
แตก |
9 |
bring บริง |
brought บรอท |
brought |
นำมา เอามา |
10 |
build บิลด |
built บิลท |
built |
สร้าง |
11 |
burst เบิสท |
burst |
burst |
ระเบิด |
12 |
buy บาย |
bought บอท |
bought |
ซื้อ |
13 |
catch แค็ทช |
caught คอท |
caught |
จับ , ขึ้นรถ |
14 |
choose ชูส |
chose โชส |
chosen โชเซิน |
เลือก |
15 |
come คัม |
came เคม |
come |
มา |
16 |
cost คอสท |
cost |
cost |
มีราคา |
17 |
cut |
cut |
cut |
ตัด |
18 |
dig ดิก |
dug ดัก |
dug |
ขุด |
19 |
dive ไดฝ |
dived (or doveโดฝ) |
dived ไดฝด |
ดำนํ้า |
20 |
do ดู |
did ดิด |
done ดัน |
ทำ |
21 |
draw ดรอ |
drew ดรู |
drawn ดรอน |
ลาก วาด เขียน |
22 |
drink ดริงค |
drank ดแรงค |
drunk ดรังค |
ดื่ม |
23 |
drive ไดรฝ |
drove ดโรฝ |
driven ดริฝเฝิน |
ขับ(รถ) |
24 |
eat อีท |
ate เอท |
eaten อีทเทิน |
กิน |
25 |
fall ฟอล |
fell เฟ็ล |
fallen ฟอลเลิน |
ตก หล่น |
26 |
feel ฟีล |
felt เฟ็ลท |
felt |
รู้สึก |
27 |
fight ไฟท |
fought ฟอท |
fought |
ต่อสู้ |
28 |
find ไฟนด |
found เฟานดึ |
found |
พบ |
29 |
fly ฟลาย |
flew ฟลู |
flown ฟโลน |
บิน |
30 |
forbid ฟอบิด |
forbade ฟอเบด |
forbidden ฟอบิดเดิน |
ห้าม |
31 |
forget ฟอเก็ท |
forgot ฟอก็อท |
forgotten ฟอก็อทเทิน |
ลืม |
32 |
freeze ฟรีส |
froze โฟรส |
frozen โฟรสเซิน |
แข็งตัว หนาว |
33 |
get เก็ท |
got ก็อท |
got |
เอา ได้รับ |
34 |
give กิฝ |
gave เกฝ |
given กิฝเฝิน |
ให้ |
35 |
go โก |
went เว็นท |
gone กอน |
ไป |
36 |
grind กรายด |
ground กราวด |
ground |
บด ลับ |
37 |
grow กโร |
grew กรู |
grown กโรน |
เติบโต, ปลูก |
38 |
hang (pictures) แฮง |
hung ฮัง |
hung |
แขวน ห้อย |
39 |
hang (people) แฮง |
hanged แฮงด |
hanged |
แขวนคอ |
40 |
have แฮฝ |
had แฮด |
had |
มี |
41 |
hear เฮีย |
heard เฮิด |
heard |
ได้ยิน |
42 |
hide ฮายด |
hid ฮิท |
hidden ฮิดเดิน |
ซ่อน |
43 |
hurt เฮิท |
hurt |
hurt |
เจ็บ, ทำให้บาดเจ็บ |
44 |
know โน |
knew นู |
known โนน |
รู้ |
45 |
lay เล |
laid เลด |
laid |
วาง ออกไข่ |
46 |
lead หลีด |
led เหล็ด |
led |
นำ |
47 |
learn เลิน |
learnt เลินท |
learnt |
เรียนรู้ |
48 |
leave ลีฝ |
left เล็ฟท |
left |
ละทิ้ง, จากไป |
49 |
lend เล็นด |
lent เล็นท |
lent |
ให้ยืม |
50 |
lie ลาย |
lay เล |
lain เลน |
นอน |
51 |
light ไลท |
lit ลิท |
lit |
จุดไฟ |
52 |
lose ลูส |
lost ลอสท |
lost |
แพ้ ทำหาย |
53 |
make เมค |
made เมด |
made |
ทำ |
54 |
meet มีท |
met เม็ท |
met |
พบ |
55 |
mistake มิสเตค |
mistook มิสตุค |
mistaken มิสเตคเคิน |
ทำผิด |
56 |
pay เพ |
paid เพด |
paid |
จ่าย |
57 |
put พุท |
put |
put |
วาง |
58 |
quit ควิท |
quitted ควิทเท็ด (or quit) |
quit ควิท |
เลิก |
59 |
read หรีด |
read เหร็ด |
read เหร็ด |
อ่าน |
60 |
ride ไรด |
rode โรด |
ridden ริดเดิน |
ขี่ |
61 |
ring ริง |
rang แรง |
rung รัง |
สั่น (กระดิ่ง) |
62 |
rise ไรซ |
rose โรส |
risen ริสเซิน |
ขึ้น ลุกขึ้น |
63 |
run รัน |
ran แรน |
run |
วิ่ง |
64 |
say เซ |
said เซด |
said |
พูด |
65 |
see ซี |
saw ซอ |
seen ซีน |
เห็น |
66 |
seek ซีค |
sought ซอท |
sought |
ค้นหา |
67 |
sell เซ็ล |
sold โซลดึ |
sold |
ขาย |
68 |
set เซ็ท |
set |
set |
จัด |
69 |
shake เชค |
shook ชุค |
shaken เช๊เคิน |
เขย่า สั่น |
70 |
shine ชายน |
shone โชน |
shone |
ส่องแสง |
71 |
shrink ชริงค |
shrank ชแรงค |
shrunk ชรังค |
หดลง สั้นลง |
72 |
sing ซิง |
sang แซง |
sung ซัง |
ร้องเพลง |
73 |
sink ซิงค |
sank แซงค |
sunk ซังค |
จม ถอยลง |
74 |
sit ซิท |
sat แซ็ท |
sat |
นั่ง |
75 |
slide สไลด |
slid สลิด |
slid |
สื่นไถล, เลื่อนไป |
76 |
sleep สลีพ |
slept สเล็พท |
slept |
นอนหลับ |
77 |
speak สปีค |
spoke สโปค |
spoken สโปเคิน |
พูด |
78 |
spin สปิน |
spun สปัน |
spun |
ม้วน กรอ ปั่นฝ้าย |
79 |
split สปลิท |
split |
split |
แตก, แยก |
80 |
spring สปริง |
sprang สแปรง |
sprung สปรัง |
โดดอย่างเร็ว, เด้ง |
81 |
sting สติง |
stung สตัง |
stung |
ต่อย, แทง |
82 |
stink สติงค |
stank สแตงค |
stunk สตังค |
ส่งกลิ่นเหม็น |
83 |
strike สไตรค |
struck สตรัค |
struck |
ตี, ต่อย?
กระทบ |
84 |
string สตริง |
strung สตรัง |
strung |
ผูกเชือก ขึงสาย |
85 |
swear สแว |
swore สวอ |
sworn สวอน |
สาบาน ปฏิญาณ |
86 |
swell สเว็ล |
swelled สเว็ลดึ |
swollen สวอลเลิน |
โตขึ้น หนาขึ้น |
87 |
swim สวิม |
swam สแวม |
swum สวัม |
ว่ายนํ้า |
88 |
swing สวิง |
swung สวัง |
swung |
แกว่ง, เหวี่ยง |
89 |
take เทค |
took ทุค |
taken เทคเคิน |
เอา พาไป |
90 |
teach ทีช |
taught ทอท |
taught |
สอน |
91 |
tear แท |
tore ทอ |
torn ทอน |
ฉีก ขาด |
92 |
tell เท็ล |
told โทลดึ |
told |
บอก |
93 |
think ธิง |
thought ธอท |
thought |
คิด |
94 |
throw ธโร |
threw ธรู |
thrown ธโรน |
เหวี่ยง ขว้าง |
95 |
wake เวค |
woke โวค |
waken เวคเคิน |
ตื่น, ปลุก |
96 |
wear แว |
wore วอ |
worn วอน |
สวม, ใส่ |
97 |
weave วีฝ |
wove โวฝ |
woven โวฝเฝิน |
ทอผ้า, สาน |
98 |
weep วีพ |
wept เว็พทึ |
wept |
ร้องไห้ |
99 |
win วิน |
won ว็อน |
won |
ชนะ |
100 |
write ไรท |
wrote โรท |
written ริทเทิน |
เขียน |
ตารางกริยา 3 ช่อง แบบปกติ
กริยาแบบปกติ หมายถึง
คำกริยาที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างแต่อย่างใด คงสภาพไว้เหมือนเดิมทุกประการ
เพียงแค่เติม ed ต่อท้ายคำแค่นั้นเอง
REGULAR
VERB กริยาปกติ |
||||
No |
ช่อง 1 |
ช่อง 2 |
ช่อง 3 |
แปล |
1 |
answer อ๊านเซอะ |
answered อ๊านเซิด |
answered |
ตอบ (คำถาม) รับ (โทรศัพท์) |
2 |
arrive อะไรฝ |
arrivedอะไรฝดึ |
arrived |
มาถึง ไปถึง |
3 |
attend อะเท็นด |
attended อะเท็นเด็ด |
attended |
(เข้าร่วม) ประชุม |
4 |
beg เบก |
begged เบกดึ |
begged |
ขอ |
5 |
call คอล |
called คอลดึ |
called |
เรียก โทรหา |
6 |
change เชนจึ |
changed เชนจดึ |
changed |
เปลี่ยน |
7 |
clean คลีน |
cleaned คลีนดึ |
cleaned |
ทำความสะอาด |
8 |
cook คุค |
cooked คุคทึ |
cooked |
ทำอาหาร |
9 |
cry คราย |
cried ครายดึ |
cried |
ร้องไห้ |
10 |
dance แดนซ |
danced แดนซทึ |
danced |
เต้นรำ |
11 |
die ดาย |
died ดายดึ |
died |
ตาย |
12 |
end เอนด |
ended เอนดิด |
ended |
จบ |
13 |
enjoy อินจ๊อย |
enjoyed อินจ๊อนดึ |
enjoyed |
สนุก, ชอบ |
14 |
fix ฟิกซ |
fixed ฟิกซทึ |
fixed |
ซ่อม |
15 |
hate เฮท |
hated เฮททิด |
hated |
เกลียด |
16 |
help เฮ็ลพ |
helped เฮ็ลพทึ |
helped |
ช่วย |
17 |
kiss คิส |
kissed คิสทึ |
kissed |
จูบ |
18 |
lift ลิฟท |
lifted ลิฟเท็ด |
lifted |
ยก |
19 |
like ไลค |
liked ไลคทึ |
liked |
ชอบ |
20 |
listen ลิซเซิน |
listened ลิซเซินดึ |
listened |
ฟัง |
21 |
live ลิฝ |
lived ลิฝดึ |
lived |
อาศัยอยู่ |
22 |
look ลุค |
looked ลุคทึ |
looked |
มอง |
23 |
love เลิฝ |
loved เลิฝดึ |
loved |
รัก |
24 |
move มูฝ |
moved มูฝดึ |
moved |
ย้าย ขยับ |
25 |
need นีด |
needed นีดเด็ด |
needed |
ต้องการ |
26 |
paint เพ๊นท |
painted เพ๊นทิด |
painted |
วาดภาพ ระบายสี |
27 |
plan แพลน |
planned แพลนดึ |
planned |
วางแผน |
28 |
play เพล |
played พเลด |
played |
เล่น |
29 |
rain เรน |
rained เรนดึ |
rainำd |
ฝนตก |
30 |
return ริเทิน |
returned ริเทินดึ |
returned |
กลับคืน |
31 |
serve เสิฝ |
served เสิฝดึ |
served |
เสิร์ฟ |
32 |
shop ช็อพ |
shopped ช็อพทึ |
shopped |
จ่ายตลาด |
33 |
smoke สโมค |
smoked สโมคทึ |
smoked |
สูบบุหรี่ |
34 |
sneeze สนีส |
sneezed สนีสดึ |
sneezed |
จาม |
35 |
snow สโน |
snowed สโนด |
snowed |
หิมะตก |
36 |
stay สเต |
stayed สเตด |
stayed |
พักอาศัย |
37 |
stop สต็อพ |
stopped สต็อพทึ |
stopped |
หยุด |
38 |
study สตัดดิ |
studied สตัดดิด |
studied |
เรียน |
39 |
talk ทอค |
talked ทอคทึ |
talked |
สนทนา |
40 |
travel แทรเวิล |
traveled แทรเวิลดึ |
traveled |
ท่องเที่ยว |
41 |
try ทราย |
tried ทรายดึ |
tried |
ลอง, พยายาม |
42 |
visit วิสิท |
visited วิสิทเท็ด |
visited |
เยี่ยม เที่ยว |
43 |
wait เวท |
waited เวททิด |
waited |
รอ |
44 |
walk วอค |
walked วอคทึ |
walked |
เดิน |
45 |
want ว็อนท |
wanted ว็อนทิด |
wanted |
ต้องการ |
46 |
wash วอช |
washed วอชทึ |
washed |
ล้าง |
47 |
watch ว็อทช |
watched ว็อทชทึ |
watched |
ดู |
48 |
work เวิค |
worked เวิคทึ |
worked |
ทำงาน |
- Tense คืออะไร
- Tense หรือที่ในภาษาไทยเรียกว่า กาลเวลา ซึ่งมันก็คือการผันกริยาในรูปแบบต่างๆ เพื่อที่จะบอกว่า ประโยคนั้นกำลังพูดถึง อดีต,ปัจจุบัน หรือว่า อนาคต นั่นเอง
ใบความรู้
ในรูปแบบ และผลงาน หรือเกิดความประทับใจ การใช้สีจะต้องสะดุดตา และมีเอกภาพ
คุณสมบัติของนักวิจารณ์
งานศิลปะส่วนใหญ่จะเป็นงานทัศนศิลป์ทั้งสิ้น ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม มัณฑนาศิลป์ อุตสาหกรรมศิลป์ พาณิชย์ศิลป์





รายวิชา คณิตศาสตร์ (พค 31001)
จำนวนจริง_ตอนที่1_สมบัติของจำนวนจริง http://youtu.be/aa7uvrSMKWw
จำนวนจริง_ตอนที่2_การแยกตัวประกอบ http://youtu.be/DD18Jl0ZW9k
จำนวนจริง_ตอนที่3_ทฤษฎีบทตัวประกอบhttp://youtu.be/Pasld3X20LU
จำนวนจริง_ตอนที่4_สมการพหุนามhttp://youtu.be/RmWxGJv6Meg
จำนวนจริง_ตอนที่5_อสมการhttp://youtu.be/WvesNxZQoD8
เลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนตรรกยะ http://youtu.be/4HRkjbSIYqs
แบบฝึกหัด ให้ทดลองทำ http://www.myfirstbrain.com/Student2_5.aspx?page=2&PageSize=20&BrowseSub3=&BrowseSub4=1709&txtSearch=
ลองเข้าไปเลือกทำดูนะคะ น่าจะมีประโยชน์กับการสอบของเราแน่นอน
ใบความรู้ที่ ๗
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) AEC คืออะไร
อาเซียนให้ความสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจร่วมกันอย่าง ต่อเนื่อง หลังจากการดำเนินการไปสู่การจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟตา (ASEAN Free Trade Area: AFTA) ได้บรรลุเป้าหมายในปี 2546 ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 8 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2545 ได้เห็นชอบให้อาเซียนกำหนดทิศทางการดำเนินงานเพื่อมุ่งไปสู่การเป็นประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (European Economic Community: EEC) และให้อาเซียนปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานภายในของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น ในการประชุมสุดยอดอาเซียนในปี 2546 ผู้นำอาเซียนได้ออกแถลงการณ์ Bali Concord IIเห็นชอบให้มีการรวมตัวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ภายในปี 2563 และให้เร่งรัดการรวมกลุ่มเพื่อเปิดเสรีสินค้าและบริการสำคัญ 11 สาขา (priority sectors) ได้แก่ การท่องเที่ยว การบินยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ไม้ ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตร ประมง เทคโนโลยีสารสนเทศและสุขภาพ
เป้าหมายของ AEC
อาเซียนจะรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ภายในปี 2563 (ค.ศ.2020) โดยมีแนวคิดว่าอาเซียนจะกลายเป็นเขตการผลิตเดียว ตลาดเดียว หรือ Single market and production base นั่นหมายถึงจะต้องมีการเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิตได้อย่างเสรี สามารถดำเนินกระบวนการผลิตที่ไหนก็ได้ โดยสามารถใช้ทรัพยากรจากแต่ละประเทศ ทั้งวัตถุดิบและแรงงานมาร่วมในการผลิต มีมาตรฐานสินค้า กฎเกณฑ์กฎระเบียบเดียวกัน
แนวทางดำเนินงานเพื่อนำไปสู่การเป็น AEC
การจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นเป้าหมายที่ท้าทายสำหรับไทยในอีก 8 ปีข้างหน้า ซึ่งไทยจำเป็นต้องเร่งดำเนินการและเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ทั้งนี้ การดำเนินงานเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ที่ผ่านมา 15 ปี ถือว่าประสบผลสำเร็จพอสมควร เห็นได้จากปริมาณการค้าภายในอาเซียนที่ขยายตัวมากขึ้น อย่างไรก็ดี ในด้านการลงทุนยังไม่บรรลุผล เนื่องจากปริมาณการลงทุนทั้งจากภายในและภายนอกอาเซียนยังอยู่ในระดับต่ำ มากนอกจากนี้ ประเทศจีนและอินเดียเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในภูมิภาค และเป็นแหล่งดึงดูดในด้านเศรษฐกิจสำคัญ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอาเซียนแต่ละประเทศ ที่มีเศรษฐกิจเล็กมาก จึงมีความจำเป็นที่อาเซียนจะต้องเร่งดำเนินการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจภายใน เพื่อไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในลักษณะเดียวกับ EU โดยจะต้องจัดทำแผนงานและดำเนินการตามอย่างเคร่งครัด และจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก ความจำเป็นที่อาเซียนต้องเร่งรัดการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจภายใน ก็เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับอาเซียนเอง และเพื่อสร้างให้อาเซียนเป็นศูนย์กลางภายในภูมิภาค คานอำนาจของประเทศอื่นๆ ภายในภูมิภาคที่มีบทบาทโดดเด่นอย่างเช่น จีน และอินเดีย ทั้งนี้ อาเซียนได้ตกลงที่จะเปิดเสรีด้านการค้าสินค้าและการค้าบริการให้เร็วขึ้น กว่ากำหนดการเดิม ในสาขาสินค้าและบริการสำคัญ 11 สาขา เพื่อเป็นการนำร่อง และส่งเสริมการ outsourcing หรือการผลิตสินค้า โดยใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนที่ผลิตภายในอาเซียนซึ่งเป็นไปตามแผนการดำเนินการ เพื่อมุ่งไปสู่การเป็น AEC และได้มอบหมายให้ประเทศต่างๆ ทำหน้าที่รับผิดชอบเป็นผู้ประสานงานหลัก (Country Coordinators) ดังนี้ พม่า สาขาผลิตภัณฑ์เกษตร (Agro-based products) และสาขาประมง (Fisheries) มาเลเซีย สาขาผลิตภัณฑ์ยาง (Rubber-based products) และสาขาสิ่งทอ(Textiles and Apparels) อินโดนีเซีย สาขายานยนต์ (Automotives) และสาขาผลิตภัณฑ์ไม้ (Wood-based products) ฟิลิปปินส์ สาขาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics) สิงคโปร์ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ (e-ASEAN) และสาขาสุขภาพ (Healthcare) ไทย สาขาการท่องเที่ยว (Tourism) และสาขาการบิน (Air Travel) AEC Blueprint ที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ได้เห็นชอบและมอบหมายให้ที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส (SEOM) จัดทำพิมพ์เขียว AEC Blueprint เพื่อเป็น แผนงานภาพรวมที่จะระบุกิจกรรมด้านเศรษฐกิจครอบคลุมทั้งสินค้า/บริการ การลงทุน แรงงาน และเงินลงทุนที่จะเปิดเสรีมากขึ้นในอนาคต เหตุผลที่อาเซียนต้องจัดทำ AEC Blueprint ก็เพื่อจะกำหนดทิศทาง แผนงานในด้านเศรษฐกิจที่ต้องดำเนินงานให้ชัดเจนตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดจน กว่าจะบรรลุเป้าหมายและเพื่อสร้าง "พันธสัญญา" ระหว่างประเทศสมาชิกที่จะดำเนินการไปสู่เป้าหมายดังกล่าวร่วมกัน เพราะการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคขนาดใหญ่ ได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการปรับตัวของอาเซียน ซึ่งมักจะมีความแตกต่างในด้านต่างๆ อันนำไปสู่ปัญหาความแตกแยก ไม่ลงรอยกัน
ประวัติความเป็นมา ความสำคัญ วัตถุประสงค์และประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการเข้าร่วม AFTA
เขตการค้าเสรีอาเซียน ( ASEAN Free Trade Area: AFTA) หรือเรียกว่า อาฟตา เป็น ข้อตกลงทางการค้าของอาเซียน (ASEAN) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีวัตถุดิบ มีผลผลิตทางการเกษตรอย่างอุดมสมบูรณ์ และมีสินค้าอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับที่ผลิตได้ในส่วนต่างๆ ของโลก ทั้งยังเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพทางการซื้อสูง
ประวัติความเป็นมา
จากการประชุมผู้นำอาเซียน ณ ประเทศสิงคโปร์ เมื่อ พ.ศ.2535 อันประกอบด้วย ไทย บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ได้ตกลงที่จะขายสินค้าระหว่างกันอย่างเสรี (ยกเว้นสินค้าเกษตร)เพื่อส่งเสริมความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สมาชิก โดยตั้งเป้าหมายที่จะลดอัตราภาษีศุลกากรระหว่างกันให้เหลือร้อยละ 0-5 ภายใน พ.ศ.2546 ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมพ.ศ. 2536 เป็นต้นไป เรียกข้อตกลงทางการค้าของกลุ่มอาเซียนนี้ว่า “เขตการค้าเสรีอาเซียน”สาเหตุสำคัญของการก่อตั้ง AFTA คือ ประเทศต่างๆ เกือบทั่วโลกต่างค้าขายและขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ประกอบกับการที่สหภาพโซเวียตล่มสลายลง ทำให้หลายประเทศต่างหวาดหวั่นว่า การลงทุนจากต่างประเทศจะหลั่งไหลไปยังยุโรปตะวันออกและสาธารณรัฐที่แยกตัว ออกมาจากสหภาพโซเวียต ไม่มาลงทุนในประเทศของตน จะทำให้ประสบกับภาวะฝืดเคืองและเศรษฐกิจถดถอย จึงหาทางที่จะร่วมมือกันทางด้านเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด กลุ่มแรก คือ ประชาคมยุโรปได้ตกลงที่จะรวมตัวกันเป็นตลาดเดียวภายใน พ.ศ.2535 และใช้มาตรการทางการค้า เพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของกลุ่ม เช่น การกำหนดอัตราภาษีศุลกากรใหม่ การกำหนดมาตรฐานสินค้านำเข้าการจำกัดโควต้าสินค้านำเข้า เป็นต้น มาตรการเหล่านี้ทำให้กลุ่มอาเซียนเห็นว่าจะเป็นสาเหตุทำให้สินค้าของตนขาย ได้น้อยลง จึงร่วมมือกันจัดตั้งเขตการค้าเสรีขึ้นในรูปที่คล้ายคลึงกัน
วัตถุประสงค์ในการก่อตั้ง
1. เพื่อให้การขายสินค้าภายในอาเซียนเป็นไปโดยเสรีมีอัตราภาษีต่ำและปราศจากข้อจำกัดทางการค้า
2. เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้มาลงทุนในอาเซียน
3. เพื่อจะได้มีอำนาจต่อรอง และเป็นเวทีแสดงความคิดเห็น หากได้รับความกดดัน หรือถูกเอารัดเอาเปรียบทางการค้าจากประเทศอื่นๆ
AFTA ได้ดำเนินการลดภาษีสินค้าระหว่างประเทศที่มีแหล่งกำเนิดในอาเซียน ดังนี้
1. สินค้าลดปกติ กำหนดให้ลดอัตราภาษีศุลกากรระหว่างกัน เหลือร้อยละ 0.5 ภายใน 10 ปีคือ ภายในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2546 ยกเว้นสมาชิกใหม่ของอาเซียน คือ เวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา ให้เลื่อนเวลาสิ้นสุดการลดภาษีออกไป
2. สินค้าเร่งลดภาษี ประกอบด้วยสินค้า 15 สาขา ได้แก่ ปูนซีเมนต์ ปุ๋ย ผลิตภัณฑ์หนัง
เยื่อกระดาษ สิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ไม้และหวาย น้ำมันพืชเคมีภัณฑ์ พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์เซรามิกและแก้ว เภสัชภัณฑ์ และแคโทดที่ทำจากทองแดง กำหนดให้ลดอัตราภาษีศุลกากรเหลือร้อยละ 0-5 ภายใน 7 ปี คือสิ้นสุดวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2543
3. สินค้าที่เริ่มลดภาษีช้ากว่าสินค้าอื่นๆ ได้แก่ สินค้าเกษตรไม่สำเร็จรูป เริ่มลดภาษีภายในพ.ศ.2544-2546 และลดเหลือร้อยละ 0-5 ภายใน พ.ศ. 2553 ยกเว้นสินค้าบางชนิด เช่น ข้าวและน้ำตาลไม่ต้องลดเหลือร้อยละ 0-5 แต่ให้ลดตามอัตราที่ตกลงกัน
ประโยชน์ของ AFTA ต่อไทย
1. ประโยชน์ต่อผู้ผลิต
1.1 กระตุ้นให้มีการปรับโครงสร้างการผลิตในประเทศทั้งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
1.2 ยกระดับความสามารถทางการผลิต
1.3 ผู้ผลิตสามารถนำเข้าวัตถุดิบที่ถูกลง และลดต้นทุนการผลิต
1.4 ผู้ผลิตสินค้าของไทย สามารถที่จะใช้ประโยชน์จาก Supply Chain ในอาเซียน เช่นการใช้วัตถุดิบ หรือสินค้ากึ่งสำเร็จรูปจากประเทศอาเซียนอื่นๆ หรืออาจโยกย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอาเซียนอื่นๆ หรือเลือกใช้ปัจจัยการผลิตที่มีความได้เปรียบสูงสุดจากประเทศอาเซียนอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ เช่น
- กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม มีจุดเด่นในด้านทรัพยากรธรรมชาติ วัตถุดิบ และแรงงาน
- สิงคโปร์ มาเลเซีย มีจุดเด่นในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
- อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นฐานการผลิต เป็นต้น
2. ประโยชน์ต่อผู้ส่งออก – ผู้นำเข้า
2.1 ตลาดสินค้ากว้างขึ้น สามารถรักษาตลาดเดิม เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และขยายตลาดใหม่ เช่น จีน อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
2.2 เป็นประตูการค้าสู่ภูมิภาคใกล้เคียง
2.3 ผู้ส่งออกสามารถขยายการค้าและบริการ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันจากภาษีนำเข้าของประเทศคู่เจรจาที่ลดลง
2.4 สร้างพันธมิตร เพิ่มอำนาจการต่อรอง
2.5 ขยายการส่งออกและโอกาสทางการค้า เมื่ออุปสรรคภาษีและมิใช่ภาษีระหว่างอาเซียนถูกยกเลิกไป จะเปิดโอกาสให้สินค้าเคลื่อนย้ายเสรี ไทยจะมีโอกาสที่ขยายการส่งออกไปยังอาเซียนได้มากขึ้น
3. ประโยชน์ต่อผู้บริโภค
3.1 ผู้บริโภคซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกลง เลือกซื้อสินค้าได้หลากหลายมากขึ้น
3.2 ผู้บริโภคได้รับความคุ้มครองจากข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกันของอาเซียน
4. ประโยชน์ต่อเกษตรกร
4.1 สามารถส่งสินค้าเกษตรออกไปขายได้มากขึ้น เนื่องจากภาษีสินค้าเกษตร เป็น 0
4.2 สามารถขยายตลาดสินค้าเกษตรไปยังประเทศนอกกลุ่มได้ และมีอำนาจในการต่อรองที่สูงขึ้นการเตรียมการของภาครัฐรองรับการเปิดเสรียก เลิกโควต้าภาครัฐได้จัดเตรียมแนวทางการใช้มาตรการอื่นๆ ที่ไม่ขัดต่อพันธกรณีภายใต้ AFTA ควบคู่ไปกับการยกเลิกโควต้า โดยอาศัยข้อยกเว้นทั่วไปของความตกลงที่อนุญาตให้ประเทศสมาชิกสามารถบังคับ ใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องชีวิต หรือสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ และพืช เช่น
- มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS)
- การกำหนดมาตรฐานสินค้า
- ช่องทางและเวลานำเข้าที่เหมาะสม
ประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการเข้าร่วมกลุ่มอาเซียน
ตั้งแต่ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South-East Asian Nations : ASEAN) ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2510 เป็นต้นมา ไทยได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมในหลายๆ ด้าน ซึ่งเป็นผลมาจากการรวมกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวที ระหว่างประเทศ และช่วยให้เสียงของอาเซียนมีน้ำหนัก เพราะการที่สมาชิกทั้ง 10 ประเทศมีท่าทีเป็นหนึ่งเดียวในเวทีระหว่างประเทศ จะทำให้ประเทศและกลุ่มความร่วมมืออื่นๆ ให้ความเชื่อถือในอาเซียนมากขึ้น ท้ายที่สุดแล้วประโยชน์ก็จะตกอยู่ที่ประชาชนในประเทศนั้น ๆ เช่น
1. การเพิ่มการจ้างงานและแก้ไขปัญหาความยากจนในภูมิภาคแม้ว่าการกระตุ้นการเติบ โตทางเศรษฐกิจ การเพิ่มการจ้างงานและการลดปัญหาความยากจน เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลแต่ละประเทศเป็นหลัก แต่ความร่วมมือหลายด้านของอาเซียนก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยแก้ไขปัญหาดัง กล่าวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการพัฒนาเศรษฐกิจรวมถึงความเป็นอยู่ของประชาชน ในภาพรวม นอกจากนี้ อาเซียนยังได้วางรากฐานสำหรับการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเพื่อสร้างตลาด ขนาดใหญ่ที่จะทำให้อาเซียนมีความน่าสนใจและดึงดูดการลงทุนได้เพิ่มขึ้น
2. การส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนจัดการประชุมด้านการท่องเที่ยว (ASEAN Tourism Forum-ATF หรือ เอทีเอฟ)เป็นประจำทุกปีในเดือนมกราคม โดยหมุนเวียนกันจัดในประเทศสมาชิก ซึ่งเป็นหนึ่งในการประชุมด้านการท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จ มากที่สุดในโลกในระหว่างการประชุม หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน อาทิ โรงแรม รีสอร์ท สายการบินและผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว จะมีโอกาสทำความรู้จักและเจรจาทางธุรกิจกับบริษัทนำเที่ยว ผู้ประกอบธุรกิจด้านท่องเที่ยวอื่นๆ รวมถึงนักเขียนด้านการท่องเที่ยวอีกด้วยประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมมือกันเพื่อ การส่งเสริมการท่องเที่ยว และยังมีโครงการจัดทำรายการโทรทัศน์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวในอาเซียน เพื่อเผยแพร่ ในปี 2545 อาเซียนได้จัดทำความตกลงด้านการท่องเที่ยว เพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเปิดเสรีด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและส่ง เสริมการท่องเที่ยวร่วมกันในภูมิภาค รวมถึงร่วมมือกันในการเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวอาเซียน นอกจากนี้ อาเซียนยังได้ริเริ่มความร่วมมือในการจัดทำความตกลงการตรวจลงตราเพียงครั้ง เดียว (Single Visa) แต่ใช้เดินทางเข้าได้หลายประเทศในลักษณะเดียวกับ Schengen Visa ของยุโรป ซึ่งนำร่องโดยไทยและกัมพูชา
3. การส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในภูมิภาคอาเซียนมีความร่วมมือเรื่องสิ่ง แวดล้อมระหว่างกันหลายด้าน ตัวอย่างหนึ่งของความร่วมมือที่เห็นได้ชัดเจนคือ การแก้ปัญหาหมอกควันซึ่งมีสาเหตุจากไฟป่าและไฟบนดินผ่านกรอบความร่วมมือ เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบของปัญหาหมอกควันข้ามแดน โดยมีการจัดตั้งศูนย์อุตุนิยมวิทยาเฉพาะทางอาเซียนที่สิงคโปร์ เพื่อกำหนดตัวชี้วัดคุณภาพอากาศและระบบการวัดปัญหาอันตรายของไฟ นอกจากนี้ เพื่อตอบสนองต่อปัญหาไฟป่า ในปี 2540-2541 อาเซียนจึงรับรองแผนปฏิบัติการแก้ปัญหามลพิษในภูมิภาคซึ่งเป็นการรวมมาตรการ ต่างๆ ในการป้องกันไฟป่า ไฟบนดินและการบรรเทาผลกระทบ การศึกษาและการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นโดยในปี 2545 มีการจัดทำความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษหมอกควันข้ามแดน ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อปี 2546 ไม่เพียงเท่านั้น อาเซียนยังมีความร่วมมือเพื่ออนุรักษ์มรดกทางธรรมชาติของอาเซียนโดยกำหนด พื้นที่ 27 แห่งให้เป็นพื้นที่คุ้มครองในฐานะมรดกทางธรรมชาติของอาเซียน มีโครงการบริหารการจัดการทรัพยากรน้ำ จัดตั้งศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพอาเซียน และโครงการฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมและระบบนิเวศ รวมทั้งเห็นชอบร่วมกันเรื่องการกำหนดเกณฑ์คุณภาพน้ำทะเล ตลอดจนรับรองแผนปฏิบัติงานเรื่องสิ่งแวดล้อมศึกษาและการสร้างความตระหนักรู้ ให้กับสาธารณชนในเรื่องสิ่งแวดล้อมทั้งนี้ไทยยังได้ประโยชน์จากการกระชับ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอาเซียนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน หมอกควันข้ามแดนและการจัดการทรัพยากรน้ำ
4. การป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อในภูมิภาคการรับมือวิกฤตการณ์โรคซาร์สใน ปี 2546 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในอาเซียน ทั้งยังส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจของหลายประเทศ คือตัวอย่างที่ชัดเจนของความร่วมมือในอาเซียนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ โรคติดต่อในภูมิภาค โดยร่วมมือกับประเทศอื่นๆ และองค์การอนามัยโลกไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมผู้นำอาเซียนสมัยพิเศษร่วม กับผู้นำจีนที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2546 เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือกันเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส ซึ่งนำไปสู่ความร่วมมือในการตรวจสอบและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค เจตนารมณ์อันแน่วแน่ของแต่ละประเทศที่เห็นความสำคัญของการร่วมมือกันช่วยให้ การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อมาเมื่อมีการแพร่ระบาดของไข้หวัด นก อาเซียนก็ได้ร่วมมือกับประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาดำเนินมาตรการเพื่อ ป้องกันการแพร่ระบาด มีการจัดตั้งคลังวัคซีนทั้งในประเทศและประเทศสมาชิกอื่นๆ เช่น สิงคโปร์และได้ร่วมกันเตรียมอุปกรณ์ป้องกันสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอา เซียนยังให้การรับรองแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านโรคเอดส์และมีเว็บไซต์ เพื่อติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของโรคติดต่อด้วย
5. การแก้ปัญหาการก่อการร้ายสากล อาชญากรรมข้ามชาติ และการแก้ปัญหายาเสพติดอาเซียนประณามการก่อการร้ายทุกรูปแบบและมีความร่วม มือกันอย่างใกล้ชิดทั้งในอาเซียนและประเทศอื่นๆ เพื่อต่อสู้กับปัญหาการก่อการร้ายข้ามชาติ และต่อต้านการระดมเงินทุนของกลุ่มเหล่านี้ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 12 เมื่อเดือนมกราคม 2550 ผู้นำอาเซียนได้ลงนาม ในอนุสัญญาต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งวางมาตรการความร่วมมือระหว่างกันในการต่อต้านการก่อการร้ายและยังได้จัด ทำสนธิสัญญาพหุภาคี ว่าด้วยความช่วยเหลือทางอาญาซึ่งกันและกัน เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับความร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรม ข้ามชาติ ซึ่งกำหนดรายละเอียดของโครงการต่างๆ ที่ประเทศสมาชิกต้องดำเนินเพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้อีกด้วยสำหรับความร่วม มือด้านยาเสพติด อาเซียนมีการจัดประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านยาเสพติด ตั้งแต่ปี 2527 ซึ่งถือเป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกัน มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมและส่งเสริมความตระหนักรู้ในเรื่องการบังคับใช้ กฎหมาย การให้ความรู้เพื่อป้องกันปัญหายาเสพติด รวมถึงการรักษาและการฟื้นฟู ทั้งยังมีความร่วมมือกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชา ชาติอีกด้วย
6. การจัดการกรณีเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติการจัดประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัย พิเศษ เพื่อการให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยในพม่าอันเกิดจากการพายุไซ โคลนนาร์กีสเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความร่วมมือในอาเซียน กรณีที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งนำไปสู่การส่งมอบความช่วยเหลือให้กับพม่าโดยมีอาเซียนเป็นแกนนำการจัด ส่งทีมแพทย์จากอาเซียนไปช่วยผู้ประสบภัย และการจัดประชุมประเทศผู้บริจาคซึ่งอาเซียนมีบทบาทนำร่วมกับสหประชาชาติที่ กรุงย่างกุ้งของพม่า ซึ่งสามารถระดมความช่วยเหลือให้กับพม่าเพื่อการฟื้นฟูประเทศต่อไปทั้งนี้อา เซียนยังมีกลไกเพื่อรับมือกับภัยพิบัติผ่านคณะกรรมการอาเซียนด้านการจัดการ ภัยพิบัติ ซึ่งจัดทำแผนปฏิบัติการฝึกอบรม การสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนสร้างความตระหนักรู้ในสาธารณชนสมาชิกอาเซียนยังลงนามความตกลงว่าด้วย การจัดการภัยพิบัติและการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อเดือนกรกฎาคม 2548 เพื่อส่งเสริมความร่วมมือให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อให้ความช่วยเหลือด้าน มนุษยธรรม (AHA Center) ขึ้นที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานระหว่างประเทศสมาชิกกับองค์กรระหว่างประเทศที่เป็น พันธมิตรของอาเซียนในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ
7. การส่งเสริมและปกป้องสิทธิสตรีแม้ว่าโดยทั่วไปสถานะของสตรีในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้มีความเท่าเทียมกับบุรุษแต่อาเซียนก็ไม่ต่างจากภูมิภาค อื่นๆ ที่มีสตรีจำนวนมากต้องตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง การทำร้ายร่างกายและขบวนการค้าประเวณีในปี 2547 รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนได้ลงนามแถลงการณ์อาเซียนว่าด้วยการจัดการใช้ความ รุนแรงต่อสตรีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN Declaration on the Elimination of Violence Against Women in the ASEAN Region) ซึ่งแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่ารัฐบาลของประเทศสมาชิกต่อต้านการใช้ความรุนแรงต่อ สตรี
8. การส่งเสริมให้เยาวชนในภูมิภาคมีความใกล้ชิดกันมากขึ้นอาเซียนเห็นว่าเยาวชน คืออนาคตของอาเซียน และเป็นกำลังสำคัญของการสร้างประชาคมอาเซียน จึงพยายามส่งเสริมให้เยาวชนมีความใกล้ชิดและรู้จักกันมากขึ้น ผ่านความร่วมมือในหลายสาขา มีการจัดค่ายเยาวชนอาเซียนและกิจกรรมสันทนาการอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บางประเทศสมาชิกก็ให้ทุนการศึกษากับนักเรียนจากประเทศอาเซียนอื่นๆ เช่น สิงคโปร์จัดตั้งกองทุนเยาวชนอาเซียนเพื่อให้การสนับสนุนการทำกิจกรรมร่วมกัน สำหรับเยาวชนอาเซียนนอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2517 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้การสนับสนุนโครงการเรือเยาวชนโดยเชิญเยาวชน กว่า 300 คน จากประเทศสมาชิกอาเซียนและญี่ปุ่นให้เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าวเป็น ประจำทุกปี เรือเยาวชนจะแวะเทียบที่ท่าเรือของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และญี่ปุ่นซึ่งมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมมิตรภาพในหมู่เยาวชนของเอเชีย
8 ธันวาคม 56
รายวิชา ภาษาไทย ระดับชั้น ม ต้น
การอ่านจับใจความ
ความหมายของการอ่านจับใจความสำคัญ
คือ การอ่านเพื่อจับใจความหรือข้อคิด ความคิดสำคัญหลักของข้อความ หรือเรื่องที่อ่าน เป็นข้อความที่คลุมข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ไว้ทั้งหมด
ใจความสำคัญ หมายถึง ใจความที่สำคัญ และเด่นที่สุดในย่อหน้า เป็นแก่นของย่อหน้าที่สามารถครอบคลุมเนื้อความในประโยคอื่นๆ ในย่อหน้านั้นหรือประโยคที่สามารถเป็นหัวเรื่องของย่อหน้านั้นได้ ถ้าตัดเนื้อความของประโยคอื่นออกหมด หรือสามารถเป็นใจความหรือประโยคเดี่ยวๆ ได้ โดยไม่ต้องมีประโยคอื่นประกอบ ซึ่งในแต่ละย่อหน้าจะมีประโยคในความสำคัญเพียงประโยคเดียว หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ประโยค
ใจความรอง หรือพลความ(พน-ละ-ความ) หมายถึง ใจความ หรือประโยคที่ขยายความประโยคใจความสำคัญ เป็นใจความสนับสนุนใจความสำคัญให้ชัดเจนขึ้น อาจเป็นการอธิบายให้รายละเอียด ให้คำจำกัดความ ยกตัวอย่าง เปรียบเทียบ หรือแสดงเหตุผลอย่างถี่ถ้วน เพื่อสนับสนุนความคิด ส่วนที่มิใช่ใจความสำคัญ และมิใช่ใจความรอง แต่ช่วยขยายความให้มากขึ้น คือ รายละเอียด
หลักการจับใจความสำคัญ
๑. ตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านให้ชัดเจน
๒. อ่านเรื่องราวอย่างคร่าวๆ พอเข้าใจ และเก็บใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้า
๓. เมื่ออ่านจบให้ตั้งคำถามตนเองว่า เรื่องที่อ่าน มีใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร
๔. นำสิ่งที่สรุปได้มาเรียบเรียงใจความสำคัญใหม่ด้วยสำนวนของตนเองเพื่อให้เกิดความสละสลวย
วิธีจับใจความสำคัญ
วิธีการจับใจความมีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับความชอบว่าอย่างไร เช่น การขีดเส้นใต้ การใช้สีต่างๆ กัน แสดงความสำคัญมากน้อยของข้อความ การบันทึกย่อเป็นส่วนหนึ่งของการอ่านจับใจความสำคัญที่ดี แต่ผู้ที่ย่อควรย่อด้วยสำนวนภาษาและสำนวนของตนเองไม่ควรย่อด้วยการตัดเอาข้อความสำคัญมาเรียงต่อกัน เพราะอาจทำให้ผู้อ่านพลาดสาระสำคัญบางตอนไปอันเป็นเหตุให้การตีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้ วิธีจับใจความสำคัญมีหลักดังนี้
๑. พิจารณาทีละย่อหน้า หาประโยคใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้า
๒. ตัดส่วนที่เป็นรายละเอียดออกได้ เช่น ตัวอย่าง สำนวนโวหาร อุปมาอุปไมย(การเปรียบเทียบ) ตัวเลข สถิติ ตลอดจนคำถามหรือคำพูดของผู้เขียนซึ่งเป็นส่วนขยายใจความสำคัญ
๓. สรุปใจความสำคัญด้วยสำนวนภาษาของตนเอง
การพิจารณาตำแหน่งใจความสำคัญ
ใจความสำคัญของข้อความในแต่ละย่อหน้าจะปรากฏดังนี้
๑. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนต้นของย่อหน้า
๒. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนกลางของย่อหน้า
๓. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนท้ายของย่อหน้า
๔. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนต้นและตอนท้ายของย่อหน้า
๕. ผู้อ่านสรุปขึ้นเอง จากการอ่านทั้งย่อหน้า(ในกรณีใจความสำคัญหรือความคิดสำคัญอาจอยู่รวมในความคิดย่อย ๆ โดยไม่มีความคิดที่เป็นประโยคหลัก)

เมื่อผู้พูดจะไปยังที่ใดที่หนึ่งก็ตาม โดยรู้หัวข้อที่จะพูดแล้ว ขั้นตอนในการตระเตรียมไปพูดนั้นอาจแบ่งเป็นขั้นตอนใหญ่ๆ 2 ขั้นตอนคือ การวิเคราะห์ผู้ฟังและกาลเทศะ และการตระเตรียมเรื่องพูด
1. การวิเคราะห์ผู้ฟังและกาลเทศะ (The Audience)
เมื่อผู้พูดหัวข้อเรื่องที่จะพูดแล้วก็ควรจะวิเคราะห์ผู้ฟังและกาลเทศะ ควรรู้ว่าผู้ฟังคือใครมีพื้นฐานการศึกษาเพียงใด อายุเท่าไร เพศชายหรือหญิง มีอาชีพอะไร มีจำนวนเท่าไร จะพูดที่ใด มีเวลาพูดเท่าไร ทั้งนี้จะได้ตระเตรียมเรื่องให้เหมาะกับผู้ฟังเพราะการพูดชนิดเดียวกันอาจเหมาะสำหรับผู้ฟังกลุ่มหนึ่งแต่อาจไม่เหมาะกับผู้ฟังอีกกลุ่มหนึ่ง ฉะนั้นการวิเคราะห์ผู้ฟังจึงเป็นการศึกษาถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและเปรียบได้ว่าผู้พูดได้รู้จักฟังก่อน
1) วัยของผู้ฟัง ผู้ฟังที่มีวัยต่างกันย่อมจะมีความสนใจและเข้าใจเรื่องที่ฟังต่างกัน การเรียนรู้ถึงอายุ ก็เพื่อจะได้ทราบว่า การพูดกับคนในวัยนั้นๆควรจะใช้วิธีการพูดและคำพูดอย่างไร วัยเด็ก เด็กมีลักษณะซุกซน ไม่อยู่นิ่งเฉย ไม่มีความอดทนฟังเรื่องได้นานๆ เบื่อง่ายชอบเรื่องสนุกสนาน ตลกขบขันชอบเล่น ฯลฯ เนื่องจากเด็กมีประสบการณ์ความรู้และความสนใจน้อย ดังนั้นถ้าจะพูดให้เด็กฟังหรือเขียนเรื่องให้เด็กอ่าน จึงควรจะเลือกเรื่องที่สนุกสนาน แฝงด้วยมุขตลกหรือเรื่องที่ให้ความบันเทิงเพลิดเพลินหรือเรื่องจินตนาการ
วัยรุ่น วัยรุ่นเป็นวัยที่อยู่ในระหว่างความเป็นเด็กและผู้ใหญ่ ยังไม่บรรลุวุฒิภาวะยังไม่มีการรับผิดชอบในเรื่องใดๆ และยังไม่เข้าใจในเหตุการณ์บางอย่างเพราะไม่มีประสบการณ์เพียงพอ แต่เด็กวัยรุ่นเป็นวัยที่อยากทดลองกับสิ่งใหม่ๆ (modernity) ชอบชีวิตที่ตื่นเต้น เรื่องที่ครึกครื้น เรื่องที่เกี่ยวกับโลกในอนาคต เรื่องที่เป็นแบบฉบับในการสร้างความก้าวหน้า ชีวิตที่ต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรค เรื่องที่เกี่ยวกับความกล้าหาญความภาคภูมิใจ และการนำชื่อเสียงมาสู่ตนเองและวงศ์ตระกูล ตลอดจนประเทศชาติ ฉะนั้นการเตรียมเรื่องพูดกับเด็กวัยรุ่นจึงควรมีจุดมุ่งหมายที่มุ่งในเหตุการณ์ที่ทันสมัย แนวทางที่น่าทดลองน่ากระทำตาม การยอมรับความคิดเห็นและความสามารถของวัยรุ่นอย่างเป็นมิตร การเต็มใจที่จะให้ความช่วยเหลือ
วัยกลางคน วัยกลางคนนี้เป็นวัยที่เริ่มจากอายุ 45 ปีขึ้นไป เป็นวัยที่มีความรับผิดชอบกำลังสร้างฐานะและมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่อาชีพ การงานและชื่อเสียง เป็นวัยที่มุ่งมั่นในความประพฤติและอุดมคติของตนเอง รักความก้าวหน้า ความคิดอ่านกว้างขวาง และมีประสบการณ์พอสมควร เรื่องที่ควรนำมาพูดควรเกี่ยวกับ การครองชีพ มนุษยสัมพันธ์ กฎหมาย ความก้าวหน้าในชีวิต แนวการศึกษาของเยาวชน สังคมและความเป็นอยู่ อนาคตของเยาวชน ฯลฯ
วัยชรา คนวัยชราเป็นผู้ที่ผ่านประสบการณ์มากชอบยึดถือสิ่งที่เป็นที่พึ่งทางจิตใจ เช่น คุณธรรม เป็นผู้ที่ชอบคิด และมุ่งหวังที่จะเห็นความเจริญก้าวหน้าของครอบครัว
วงศ์ตระกูล จึงควรเลือกเรื่องเกี่ยวกับธรรมะหรือเรื่องที่แฝงไว้ด้วยคุณธรรม เรื่องธรรมชาติความจำในอดีต สังคมในอดีตที่คนวัยชรามีส่วนสร้างสรรค์หรือเกี่ยวข้อง ฯลฯ ส่วนการจัดเรื่องนั้นควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย พูดยกย่องความสามารถ ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล และควรจะพูดในทำนองผู้ปรับทุกข์
2) เพศของผู้ฟัง ความสนใจของผู้ฟังนั้นย่อมขึ้นอยู่กับเพศเหมือนกัน ผู้พูดควรตระเตรียมเรื่องให้ เหมาะสมกับเพศของผู้ฟังดังนี้ เพศหญิง เพศหญิงมักสนใจในเรื่องความสวยความงาม การบ้านการเรือน การสมาคม การแต่งกาย การเสริมสร้างบุคลิกภาพ ความเคลื่อนไหวของสังคม ความบันเทิง ฯลฯ
เพศชาย เพศชายมักสนใจในเรื่องการเมือง การงาน สวัสดิภาพของครอบครัว การกีฬา เครื่องยนต์กลไก ฯลฯ เมื่อจะพูดให้เพศชายฟัง ผู้พูดควรตระเตรียมเรื่องให้พร้อม เนื้อเรื่องและคำพูดที่ใช้นั้นควรมีเหตุผลหนักแน่น น่าเชื่อถือ เพราะผู้ชายเป็นเพศที่จะถูกชักจูงโน้มน้าวจิตใจได้ยากกว่าเพศหญิง และเมื่อจะพูดให้เพศหญิงฟัง ผู้พูดควรนำคำที่สุภาพ อ่อนหวานมาใช้ เพราะเพศหญิงเป็นเพศที่อารมณ์ละเอียด อ่อนไหวง่าย
4) ฐานะและอาชีพของผู้ฟัง (Class Audiences) การเรียนรู้อาชีพ ฐานะ หรือชั้น ของผู้ฟังมาก่อนย่อมเป็นผลกำไรของผู้พูด เพราะผู้ที่ต่างอาชีพกันย่อมมีความสนใจต่างกัน เมื่อผู้พูดรู้ว่าผู้ฟังเป็นคนชั้นใด จะได้สามารถตระเตรียมเนื้อหาตลอดจนวิธีการพูดได้ถูกต้อง ฐานะหรือชั้น ของผู้ฟังอาจแบ่งออกได้ดังนี้
1) ชนชั้นกลาง (The middiences ) คนชนชั้นกลางส่วนใหญ่ประกอบด้วยคนที่มีอาชีพการงานเป็นของตนเองเช่น พ่อค้า นักธุรกิจและผู้ที่รับราชการในขั้น “หัวหน้า” คนชั้นกลางเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์มากพอสมควรมีใจคอกว้างขวาง มีความอดทนมีความเชื่อมั่นในตนเอง พร้อมที่จะฟังข้อคิดเห็นเกี่ยวกับความเจริญก้าวหน้าในอาชีพตน เรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย การปรับปรุงความเป็นอยู่ บุคลิกภาพ สิทธิพิเศษ ผู้พูดควรเตรียมเรื่องเศรษฐกิจการลง
2) ชนชั้นกรรมาชีพ (The Working Class) คนในชนชั้นนี้ได้แก่ ผู้ที่ใช้แรงงาน ซึ่งได้แก่กรรมกร ผู้รับจ้าง ลูกจ้างแรงงานฯลฯ คนในชนชั้นกรรมาชีพนี้เป็นผู้ที่มีความฉลาดพอสมควร (แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนสูง) เป็นผู้ที่ใฝ่ใจในการทำมาหาเลี้ยงชีพ สนใจในการเมือง เศรษฐกิจ แสวงหาความยุติธรรม รักพวกพ้อง และเกลียดการดูถูกเหยียดหยาม ฉะนั้นผู้พูดจึงควรเตรียมเรื่องด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายให้ความเป็นกันเอง หลีกเลี่ยงการพูดดูถูกเหยียดหยาม แต่ควรพูดในทำนองให้คำปรึกษา ให้ความเห็นใจ และให้ผู้ฟังเกิดความภาคภูมิใจในอาชีพของตน
3) ผู้ฟังที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ (The Expert Audience) ถ้าผู้ฟังเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญผู้พูดจะต้องตระเตรียมเรื่องที่พูดให้พร้อมและให้ดียิ่ง เนื้อเรื่องที่ค้นคว้ามาพูดนั้นจะต้องมีข้อมูล ข้อเท็จจริงอ้างอิง สนับสนุน และเนื้อเรื่องที่จะนำไปพูดนั้นควรให้ผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญในสาขาวิชานั้น ๆ ตรวจดูก่อน
4) ผู้ฟังเรื่องทางการเมือง (The Political Audience) ถ้าผู้พูดจะต้องเตรียมเรื่องพูดในแนวการเมือง ผู้พูดควรเตรียมตัวล่วงหน้าว่าผู้ฟังส่วนหนึ่งจะเป็นมิตรและอีกส่วนหนึ่งจะคอยคัดค้าน ผู้พูดจะต้องเตรียมเนื้อเรื่องที่มีหลักฐานเหตุผลข้อเท็จจริงอ้างอิงได้ ข้อความต่างๆที่นำมาอ้าง หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องพาดพิงกับเหตุการณ์จะต้องแน่นอน
5) ระดับการศึกษา ผู้พูดควรพิจารณาว่าผู้ฟังมีระดับการศึกษามากน้อยเพียงไร ถ้าผู้ฟังเป็นผู้มีการ
ศึกษาน้อย ผู้พูดจะต้องเตรียมเรื่องด้วยภาษาง่ายๆ เนื้อหาสั้นกระทัดรัด แต่ถ้าผู้ฟังเป็นผู้มีการศึกษาสูง ผู้พูดจะต้องใช้คำพูดที่มีเหตุผล มีแนวโน้มในด้านวิชาการ
6) สถานที่ การรู้ถึงสถานที่ที่จะพูดนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้พูด ควรจะทราบล่วงหน้าเพื่อจะได้
ตระเตรียมเนื้อเรื่องและการแต่งกายได้ถูกต้องและเหมาะสม
7) เวลา เวลาเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้การพูดประสบความสำเร็จหรือไม่ เช่น การพูดใน
เวลากลางวัน หรือหลังจากอาหารกลางวันแล้วอากาศมักร้อนอบอ้าว ผู้ฟังอาจนั่งฟังไม่สบายเท่าที่ควรผู้พูดต้องเตรียมเรื่องพูดให้รวบรัดได้ใจความ ส่วนการพูดใกล้กับเวลาอาหารกลางวันหรือเวลาอาหารเย็นก็ไม่เหมาะ นอกจากนี้ผู้พูดควรทราบล่วงหน้าว่าตนมีเวลาพูดมากน้อยเพียงไร เพราะจะได้เตรียมเรื่องมาพูดให้พอเหมาะกับเวลา
8) โอกาส การพูดในแต่ละโอกาสย่อมไม่เหมือนกัน เช่น การพูดให้ความรู้แก่นักเรียน
นักศึกษา ย่อมแตกต่างไปจากพูดอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิด การใช้ภาษาท่าทาง ตลอดจนการแต่งกายก็เปลี่ยนไป ดังนั้นผู้พูดควรรู้ล่วงหน้าก่อนว่าตนจะพูดในโอกาสอะไร เพื่อจะได้เตรียมเนื้อเรื่องและเตรียมตัวไปพูดได้ถูกต้องและเหมาะสม



รายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษาต่อ ( พต22005 )
อ่านและเขียนคำศัพท์ อ่านกราฟ การ์ตูน ตาราง สัญลักษณ์ สถิติ ดัชนี สารบัญ และการทำข้อสอบ แบบเว้นช่องว่างอย่างมีระบบ อ่านข่าว ร้องเพลง และอ่านโคลง
ตลอดจนการใช้พจนานุกรมในการตรวจคำผิด
โครงสร้างทางภาษา ( Structure )
ชนิดของคำ ( Parts of speech ) ได้แก่
1. คำนาม ( Nouns ) หมายถึง คำที่ใช้เรียกชื่อ คน , สัตว์ , สิ่งของ และสถานที่
2. คำสรรพนาม ( Pronouns ) หมายถึง คำที่ใช้แทนคำนาม
3. คำกริยา ( Verbs ) หมายถึง คำที่ใช้บ่งบอกการแสดงของภาคประธาน
4. คำคุณศัพท์ ( Adjectives ) หมายถึง คำที่ใช้ขยายคำนาม
5. คำกริยาวิเศษณ์ ( Adverbs ) หมายถึง คำที่ใช้ขยายคำกริยา , คำคุณศัพท์ หรือ คำกริยาวิเศษณ์ด้วยกันเอง
6. คำบุพบท ( Prepositions ) หมายถึง คำที่ใช้บอกตำแหน่ง , เชื่อมวลี
คำนาม ( Nouns )
คำนาม คือ คำที่ใช้เรียกชื่อ คน , สัตว์ , สิ่งของ และสถานที่
ประเภทของคำนาม โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถแบ่งประเภทของคำนามได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ วิสามานยนาม , สามานยนาม , และสมุหนาม ดังจะอธิบายต่อไปนี้
วิสามานยนาม ( Proper Noun ) หมายถึง คำที่เป็นชื่อเฉพาะของ คน , สัตว์ , สิ่งของ และ สถานที่ โดยทั่วไปคำเหล่านี้มักขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ และจะไม่มีการผันพจน์ ได้แก่ ชื่อบุคคล อาทิ Chawin Varnabhumi , ชื่อตำแหน่ง ,
หรือชื่อสถานที่ อาทิ Bangkok , Thailand เป็นต้น
สามานยนาม หรือคำนามทั่วไป ( Common Noun ) หมายถึง คำทั่วไปที่ใช้เรียกชื่อ คน , สัตว์ , สิ่งของ และสถานที่ โดยมิได้เป็นชื่อเฉพาะ เช่น a man, a cat, a pen, a lavatory เป็นต้น เราสามารถแบ่งสามานยนามออกเป็น 2 กลุ่มย่อยๆ
คือ นามที่นับได้ และนามที่นับไม่ได้
- นามที่นับได้ ( Countable Noun ) หมายถึง นามที่เราสามารถแยกออกเป็นตัวๆ เป็นชิ้นๆ ได้ด้วย สายตา เช่น a boy, a girl, a cat, a lavatory เป็นต้น เหล่านี้จัดเป็นกลุ่มนามที่สามารถทำให้เป็น พหูพจน์ได้
เช่น boys, girls, a cat, a lavatory เป็นต้น ( หากเป็นเอกพจน์ก็ต้องอยู่ตามหลังคำนำหน้า นาม )
- นามที่นับไม่ได้ ( Uncountable Noun ) หมายถึง นามที่เราไม่สามารถแยกออกเป็นตัวๆ เป็นชิ้นได้ เช่น water หรือหากแยกได้ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เช่น rice ทั้งนี้รวมทั้งอาการนามต่อด้วย โดยทั่วไป
แล้ว คำเหล่านี้จะจัดเป็นเอกพจน์ อย่างไรก็ดีเราไม่ควรด่วนสรุปว่ากลุ่มคำนามที่นับไม่ได้นี้จะมีรูปแบบเป็น เอกพจน์เท่านั้น เพราะอาจเป็นไปได้ทั้ง 2 แบบ และวิธีที่จะทราบได้ก็คือการตรวจสอบจากพจนานุกรม ภาษาอังกฤษ
สมุหนาม หรือนามบอกหมวดหมู่ ( Collective Noun ) หมายถึง นามที่บ่งบอกถึงหมวดหมู่ของสิ่ง ต่างๆ จัดเป็นนามที่มีรูปแบบเอกพจน์คงเดิม แต่นัยทางความหมายเมื่อใช้ในประโยค เป็นไปได้ทั้งนัยเอกพจน์
และนัยพหูพจน์ คำนามเหล่านี้ ได้แก่ army , class , family , group , crew , crowd , committee , family , government , jury , staff , audience เป็นต้น อย่างไรก็ดี คำ เหล่านี้ก็อาจใช้ในรูปพหูพจน์ได้ในบางกรณี
เช่น A reading group of my faculty is cancelled.
A group of students are having a meal at the main canteen.
Many groups of students are having a meal at the main cantee.
การทำคำนามนับได้ให้เป็นพหูพจน์
ในภาษาไทย คน สัตว์ สิ่งของ จำนวนมากกว่า 1 เราจะกล่าวว่า ผู้ชาย 2 คน สุนัข 3 ตัว หนังสือ 4 เล่ม
ไม่มีการเปลี่ยนรูปหรือเพิ่มพยัญชนะต่อท้ายคำนาม ผู้ชาย สุนัข หนังสือ แต่ในภาษาอังกฤษเมื่อเรากล่าวถึงคำนามนับได้ คน สัตว์ สิ่งของ มีจำนวนเท่ากับ 1 เราเรียกว่าคำนามนับได้เอกพจน์ ( Singular ) ส่วนคำนามนับได้
จำนวนมาก 1 เราเรียกว่าคำนามพหูพจน์ ( Plural ) และรูปแบบจะเป็น two men three dogs four watches จะเห็นว่าเมื่อคำนามนับได้มีจำนวนมากกว่า 1 จำต้องทำให้คำนามนับได้เหล่านั้นมีรูปเป็นพหูพจน์ด้วย
ดังนั้น เราจะต้องรู้จักวิธีการทำให้คำนามเหล่านั้นมีรูปเป็นพหูพจน์
การเปลี่ยนคำนามนับได้เอกพจน์ ( Singular ) ให้เป็นคำนามนับได้พหูพจน์ ( Plural )
ยังมีต่อนะคะ
ที่
|
หัวเรื่อง
|
ตัวชี้วัด
|
เนื้อหา
|
เวลา (ชั่วโมง)
|
1
|
จากอดีตสู่เมืองศิวิไลซ์
|
1. อธิบายการตั้งถิ่นฐานและความสัมพันธ์ของบางกอกในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้
2. อธิบายการตั้งถิ่นฐานและความสำคัญของบางกอกสมัยกรุงธนบุรีได้
3. อธิบายประวัติศาสตร์ของกรุงเทพมหานคร ตอนต้นได้
4. อธิบายพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของ
กรุงเทพมหานครสมัยใหม่ ได้
5.อธิบายประวัติของกรุงเทพมหานครสมัยประชาธิปไตยได้
6.อธิบายการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมได้
7. อธิบายวิวัฒนาการทางการปกครองของกรุงเทพมหานครได้
8. อธิบายโครงสร้างการบริหารงานของกรุงเทพมหานคร ได้
|
1. ประวัติการตั้งถิ่นฐานและความสัมพันธ์ของบางกอกในสมัยกรุงศรีอยุธยา
2. ประวัติการตั้งถิ่นฐานและความสัมพันธ์ของบางกอกในสมัยกรุงธนบุรี
3.ประวัติของกรุงเทพมหานครตอนต้น (พ.ศ. 2325-2394)
4. ประวัติของกรุงเทพมหานครสมัยใหม่(พ.ศ. 2394-2475)
5. ประวัติของกรุงเทพมหานคร สมัยประชาธิปไตย (พ.ศ. 2475-ปัจจุบัน)
6.การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
7.การปกครองของกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่การเข้าสู่การเป็นเทศบาล การรวมจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี
8. โครงสร้างการบริหารงานของกรุงเทพมหานคร
|
40
|
ที่
|
หัวเรื่อง
|
ตัวชี้วัด
|
เนื้อหา
|
เวลา (ชั่วโมง)
|
2
|
มหานครแห่งความสุข
|
1.อธิบายเป็นมาของแต่ละศาสนาในกรุงเทพมหานครได้
2. อธิบายหลักธรรมของแต่ละศาสนาได้ และปฏิบัติตนตามหลักธรรมสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
3.อธิบายรูปแบบการจัดการศึกษาในกรุงเทพมหานครและความสำคัญของการศึกษาที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของตนได้
4.อธิบายการมีสุขภาพอนามัยที่ดีและปฏิบัติตนให้เป็นคนที่มีสุขภาพอนามัยดีได้
|
1.ศาสนาในกรุงเทพมหานคร
2. หลักธรรมคำสั่งสอนของแต่ละศาสนาในกรุงเทพมหานคร
3.รูปแบบการจัดการศึกษาในกรุงเทพมหานคร
4.การดูแลสุขภาพอนามัยการใช้ชีวิตในเมืองหลวงให้มีความสุข
วิถีชีวิตของความสุขให้เมืองหลวง
|
40
|
การเขียนเรียงความ เป็นการนำถ้อยคำมาผูกประโยค แล้วเรียบเรียงเป็นเรื่องราวเพื่อเเสดงความรู้ ความเข้าใจ ความคิดเห็น และความรู้สึกของผู้เขียน ให้ผู้อื่นเข้าใจเรื่องราวที่เขียน ด้วยสำนวนภาษาที่สละสลวย
๑. เขียนชื่อเรื่องไว้กึ่งกลางหน้ากระดาษ
๒. เขียนด้วยลายมือที่ชัดเจนอ่านง่าย และถูกต้องตามหลักการเขียน
๓. ไม่เขียนชิดริมกระดาษ หรือเขียนตกขอบกระดาษ ควรเว้นว่างหนากระดาษทั้งด้านซ้ายและด้านขวาพองาม รวมทั้งไม่เขียนฉีกคำ
๔. วางโครงเรื่องเพื่อลำดับเรื่องราวให้เป็นไปตามลำดับก่อนและหลัง
๕. ควรแบ่งเป็นย่อหน้าคำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป โดยในส่วนของเนื้อเรื่องอาจมีย่อหน้าหลายย่อหน้าได้ และควรเขียนย่อหน้าให้ตรงกัน
๖. ชื่อเรื่องและเนื้อเรื่องต้องสัมพันธ์กัน
๗. เนื้อเรื่องต้องประกอบด้วยข้อมูลที่เป็นจริง ผู้เขียนจึงควรค้นคว้าเรื่องที่จะเขียน
รูปแบบของเรียงความ
แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ดังนี้
๑. คำนำ อยู่ส่วนเเรกของเรียงความ มีความยาวพอประมาณ ใช้เเสดงความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียนต่อหัวข้อเรื่อง บางเรื่องก็ขึ้นคำนำโดยใช้อธิบายคำจำกัดความหัวข้อ
๒. เนื้อเรื่อง เป็นย่อหน้าถัดจากคำนำ ส่วนของเนื้อเรื่องควรมีประมาณ ๒-๔ ย่อหน้า ต้องบรรยายชัดเจน ยกตัวอย่างให้เห็นจริง อ้างอิงให้ข้อความมีน้ำหนัก
๓. สรุป เป็นย่อหน้าสุดท้ายของเรียงความ ควรมีเพียงย่อหน้าเดียว และไม่ต้องเขียนคำสรุป บางครั้งอาจจบลงด้วยคำคม หรือสุภาษิตที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง
แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้ภาษาในเรียงความมี ๕ ประการ ดังนี้
๑. สังเกตภาษา เช่น การใช้คำที่สื่อความหมายชัดเจน เหมาะสม
- ถ้าเราใช้เวลาจนคุ้มค่า ก็ไม่ต้องเสียดายโอกาสที่ผ่านไป
- การมองโลกในแง่ดี ย่อมทำให้จิตใจผ่องใส
๒. เลือกใช้คำที่เหมาะสม ใช้คำศัพท์ที่ถูกต้องและเรียบง่าย อ่านเเล้วเข้าใจทำให้เห็นภาพ
๒.๑ คำที่เรียบง่าย เช่น ผมชอบอากาศทางเหนือที่หนาวเย็น
๒.๒ คำพยางค์เดียวและคำซ้อน เช่น เธอเขียนคำตอบผิด
๒.๓ คำที่ให้เห็นภาพและได้ยินเสียง เช่น \"เป็ดตัวเเรกลงน้ำก่อน ไซ้ปีกไซ้ขน ขณะที่ตัวอื่นๆ ตามลงมาดูเบา และลอยฟ่อง เหมือนร่างกายไม่มีน้ำหนัก\" (จากเรื่อง สวนสัตว์ ของ สุวรรณี สุคนธา)
๓. คิดให้เเจ่มเเจ้ง ควรใช้ความคิดในเรื่องที่จะเขียนให้กระจ่าง เพื่อใช้เป็นโครงเรื่อง และคิดหาถ้อยคำมาใช้สื่อความหมาย จนกว่าจะจบเรื่อง
๔. แต่งประโยคสั้น เป็นวิธีการที่ดีในการเขียนเรียงความ ในการแต่งประโยคไม่ความใช้คำซ้ำๆ ในที่ใกล้ๆ กัน ควรเปลี่ยนใช้คำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกัน เช่น
แม่ซื้อกระเป๋า ประเป๋าสีดำ กระเป๋าใบนี้ทำจากหนังงู เป็น แม่ซื้อกระเป๋าสีดำ ซึ่งทำจากหนังงู
\"สุนทรภู่ ได้ชื่อว่าเป็นกวีเเห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ สุนทรภู่ได้รับการยกย่องให้เป็นกวีเอกของโลก\" เป็น
\"สุนทรภู่ ได้ชื่อว่าเป็นกวีเเห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ท่านได้รับการยกย่องให้เป็นกวีเอกของโลก\"
๕. สัมพันธ์เรื่องราว ควรคำนึงถึงการทำให้เรื่องที่เขียนมีเนื้อหาสาระที่สัมพันธ์กันตามโครงเรื่อง โดยย่อหน้าทั้งหมดต้องมีเรื่องราวสัมพันธ์ต่อเนื่องกันจนกว่าจะจบเรื่อง
ผู้เขียนเรียงความต้องใช้คำในการสื่อความหมายให้ชัดเจน อ่านเเล้วเขาใจทำให้เห็นภาพ ควรใช้คำที่ถูกต้องและเรียบง่าย การเขียนเรียงความมีข้อควรระวัง คือ ไม่ควรใช้คำซ้ำๆ ในที่ใกล้ๆ กัน ควรเปลี่ยนใช้คำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกัน และเรียบเรียงเนื้อหาสาระให้สัมพันธ์ตามโครงเรื่อง ข้อความเเต่ละย่อหน้าให้มีความต่อเนื่องกันจนจบ และอาจลงท้ายด้วยคำคม หรือสุภาษิตก็ได้
ที่มาและได้รับอนุญาตจาก :
เอกรินทร์ สี่มหาศาล และคณะ. ภาษาไทย ป.๖. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์.
เรียงความคือ การนำเอาคำมาประกอบแต่งเป็นเรื่องราวอาจใช้วิธีการเขียนหรือการพูด ก็ได้ การเขียน จดหมาย รายงาน ตอบคำถาม ข่าว บทความ ฯลฯ อาศัยเรียงความเป็นพื้นฐาน ทั้งนั้น ดังนั้น การเขียนเรียงความจึงมีความสำคัญ ช่วยให้พูดหรือเขียนในรูปแบบต่าง ๆ ได้ดี นอกจากนี้ก่อนเรียงเขียนความเราต้องค้นคว้า รวบรวมความรู้ ความคิด และนำมาจัดเป็นระเบียบ จึงเท่ากับเป็นการฝึกสิ่งเหล่านี้ให้กับตนเองได้อย่างดีอีกด้วย
องค์ประกอบของเรียงความ เรียงความเรื่องหนึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญ๓ ส่วน คือ ส่วนนำ ส่วนเนื้อเรื่องและส่วนท้ายหรือสรุปส่วนนำเรื่องจะเป็นส่วนที่แสดงประเด็นหลักหรือจุดประสงค์ของเรื่องส่วนเนื้อเรื่องเป็นส่วนขยายโครงเรื่องที่วางเอาไว้ส่วนนี้จะประกอบด้วยย่อหน้าหลายย่อหน้าส่วนท้ายของเรื่องจะเป็นการเน้นย้ำประเด็นหลักหรือจุดประสงค์ ๑. การเขียนส่วนนำ ดังได้กล่าวแล้วว่าส่วนนำเป็นส่วนที่แสดงประเด็นหลักหรือจุดประสงค์ของเรื่องดังนั้นส่วนนำจึงเป็นการบอกผู้อ่านถึงเนื้อหาที่นำเสนอและยังเป็นการเร้าความสนใจให้อยากอ่าน เรื่องจนจบ การเขียนส่วนนำเพื่อเร้าความสนใจนั้นมีหลายวิธีแล้วแต่ผู้เขียนจะเลือกตามความเหมาะสม อาจนำด้วยปัญหาเร่งด่วนหรือหัวข้อที่กำลังเป็นเรื่องที่น่าสนใจ คำถาม การเล่าเรื่องที่จะเขียนการยกคำพูด ข้อความ หรือสุภาษิตที่น่าสนใจ บทร้อยกรองการอธิบายความเป็นมาของเรื่อง การบอกจุดประสงค์ของการเขียนการให้คำจำกัดความ ของคำสำคัญของเรื่องที่จะเขียน แรงบันดาลใจ ฯลฯดังตัวอย่าง เช่น ๑.๑นำด้วยปัญหาเร่งด่วน หรือหัวข้อที่กำลังเป็นเรื่องที่น่าสนใจเช่น เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน จะพบกลุ่มสนทนากลุ่มย่อย ๆวิสัชนากันด้วยเรื่อง “วิสามัญฆาตกรรม” ในคดียาเสพติดบ้างก็ว่าเป็นความชอบธรรม บ้างก็ว่ารุนแรงเกินเหตุ หลายคนจึงตั้งคำถามว่าถ้าไม่ทำวิสามัญฆาตกรรมกรณียาเสพติด แล้วจะใช้วิธีการชอบธรรมอันใดที่จะล้างบางผู้ค้าหรือผู้บ่อนทำลายเหล่านี้ลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว ๑.๒นำด้วยคำถามเช่น ถ้าถามหนุ่มสาวทั้งหลายว่า “อยากสวย” “อยากหล่อหรือไง” คำตอบที่ได้คงจะเป็น คำตอบเดียวกันว่า “อยาก” จากนั้นก็คงมีคำถามต่อไปว่า“แล้วทำอย่างไรจึงจะสวยจะหล่อ ได้สมใจในเมื่อธรรมชาติของหลาย ๆคนก็มิได้สวยได้หล่อมาแต่ดั้งเดิม จะต้องพึ่งพา เครื่องสำอางหรือการศัลยกรรมหรือไร แล้วจะสวยหล่อแบบธรรมชาติได้หรือไม่ ถ้าได้จะทำอย่างไร” ๑.๓นำด้วยการเล่าเรื่องที่จะเขียนเช่นงานมหกรรมหนังสือนานาชาติจัดขึ้นเป็นประจำในวันพุธแรกของเดือนตุลาคมของทุกปีที่เมืองแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๔๕ นี้นับเป็นครั้งที่ ๕๓ ๑.๔นำด้วยการยกคำพูด ข้อความ สุภาษิตที่น่าสนใจ เช่น ในอดีตเมื่อกล่าวถึงครู หรือค้นหาคุณค่าของครูหลายคนคงนึกถึงความเปรียบทั้งหลายที่มักได้ยินจนชินหูไม่ว่าจะเป็นความเปรียบที่ว่า “ครูคือเรือจ้าง” “ครูคือปูชนียบุคคล” หรือ “ครูคือผู้ให้แสงสว่างทางปัญญา” ฯลฯความเปรียบเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงคุณค่า ความเสียสละและการเป็นนักพัฒนาของครู ในขณะที่ปัจจุบันทัศนคติในการมองครูเปลี่ยนไปหลายคนมองว่าครูเป็นแค่ผู้ที่มีอาชีพรับจ้างสอนหนังสือเท่านั้นเพราะครูสมัยนี้ไม่ได้อบรมความประพฤติให้แก่ผู้เรียนควบคู่ไปกับการให้ความรู้ไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีที่จะเรียกว่า “แม่พิมพ์ของชาติ” อาชีพครูเป็นอาชีพที่ตกต่ำและดูต้อยต่ำในสายตาของคนทั่วไป ทั้ง ๆที่อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ต้องทำหน้าที่ในการพัฒนาคนที่จะไปเป็นกำลังสำคัญของการพัฒนาประเทศชาติต่อไปจึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการทบทวนบทบาทหน้าที่คุณธรรมและอุดมการณ์ของความเป็นครูกันเสียที ๑.๕นำด้วยบทร้อยกรองเช่น “ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมน ไม่ยินและไม่ยล อุปสรรคคะใดใด ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้ ก็จะโลดจากคอกไป บ่ยอมอยู่ ณ ที่ขัง ถ้าหากปล่อยไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บ่หวนคิดถึงเจ็บกาย”
(จากบทละครเรื่อง “มัทนพาธา” ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) ความรักเป็นอารมณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์มีทั้งประโยชน์และเป็นโทษในเวลาเดียวกันความรักที่อยู่บนพื้นฐานของความบริสุทธิ์ จริงใจและความมีเหตุผลย่อมนำพาผู้เป็นเจ้าของความรักไปในทางที่ถูกที่ควรแต่ถ้าความรักนั้นเป็นเพียงอารมณ์อันเกิดจากความหลงใหลในรูปกายภายนอกความชื่นชมตามกระแสและความหลงผิด ความรักก็จะก่อให้เกิดโทษจึงมีผู้เปรียบเปรยว่า “ความรักทำให้คนตาบอด” ด้วยบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในเรื่องมัทนพาธา ซึ่งได้แสดงให้เห็นภาพของความลุ่มหลงอันเกิดจากความรักและทุกข์สาหัสอันเกิดจากความรักได้เป็นอย่างดีสมกับชื่อเรื่องว่า มัทนพาธาที่แปลว่า ความบาดเจ็บแห่งความรัก ๑.๖นำด้วยการอธิบายความเป็นมาของเรื่องเช่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วข้าพเจ้าได้ไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพของผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านเป็นอดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือศพของท่านได้รับการบรรจุไว้ในโกศศพพระราชทานเห็นดังนั้นแล้วทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเมื่อครั้งยังเป็นเด็กข้าพเจ้าจำได้ว่าตอนข้าพเจ้าไปเผาศพคุณตา คุณยายที่บ้านสวนจังหวัดสมุทรสงคราม ศพของท่านทั้งสองก็ได้รับการบรรจุไว้ในโกศเช่นกันซึ่งท่านทั้งสองก็เป็นพลเรือนธรรมดา ๆ ไม่ได้เป็นข้าราชการผู้ใหญ่เรื่องนี้คงมีหลายคนสงสัยว่าทำไมพลเรือนธรรมดา ๆ ถึงมีโกศใส่ศพกับเขาด้วยดังนั้นเพื่อทำความกระจ่างแก่เยาวชนและผู้สนใจในปัจจุบันนี้อาจจะไม่เคยเห็นศพชาวบ้านที่บรรจุในโกศข้าพเจ้าจึงได้ค้นคว้าเรื่องนี้มาเพื่อเป็นความรู้แก่ผู้สนใจทั่วไป ๑.๗นำด้วยการบอกจุดประสงค์ของการเขียนเช่น สามก๊กที่ผู้อ่านทั้งในประเทศจีนและในประเทศไทยรู้จักกันดีนั้นเป็นนวนิยายส่วนสามก๊กที่เป็นประวัติศาสตร์ มีคนรู้น้อยมากแม้คนจีนแผ่นดินใหญ่ที่ได้เรียนจบ ขั้นอุดมศึกษามาแล้ว ก็มีน้อยคน(น้อยมาก) ที่รู้พอสมควร บทความเรื่องนี้จึงขอเริ่มต้นจาก สามก๊กที่เป็นประวัติศาสตร์ ๒. การเขียนส่วนเนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องเป็นส่วนสำคัญที่สุดของเรียงความเพราะเป็นส่วนที่ต้องแสดงความรู้ ความคิดเห็นให้ผู้อ่านทราบตามโครงเรื่องที่วางไว้ เนื้อเรื่องที่ต้องแสดงออกถึงความรู้ความคิดเห็นอย่างชัดแจ้งมีรายละเอียดที่เป็นข้อเท็จจริงและมีการอธิบายอย่างเป็นลำดับขั้นมีการหยิบยกอุทาหรณ์ ตัวอย่าง ทฤษฎี สถิติ คำกล่าว หลักปรัชญา หรือสุภาษิตคำพังเพย ฯลฯ สนับสนุนความรู้ความคิดเห็นนั้นเนื้อเรื่องประกอบด้วยย่อหน้าต่าง ๆ หลายย่อหน้าตามสาระสำคัญที่ต้องการกล่าวถึงเปรียบกันว่าเนื้อเรื่องเหมือนส่วนลำตัวของคนที่ประกอบด้วย อวัยวะต่าง ๆแต่รวมกันแล้วเป็นตัวบุคคล ดังนั้นการเขียนเนื้อเรื่องถึงจะแตกแยกย่อยออกไปอย่างไร จะต้องรักษาสาระสำคัญใหญ่ของเรื่องไว้ การแตกแยกย่อยเป็นไปเพื่อประกอบให้สาระสำคัญใหญ่ของเรื่องซึ่งเปรียบเหมือนตัวคน สมบูรณ์ในแต่ละย่อหน้า ประกอบด้วยส่วนที่เป็นเนื้อหา คือความรู้หรือความคิดเห็นที่ต้องการแสดงออก การอธิบาย และอุทาหรณ์คือการอ้างอิง ตัวอย่าง ฯลฯ ที่สนับสนุนให้เห็นจริงเห็นจัง ส่วนสำนวนโวหารจะใช้แบบใดบ้าง โปรดศึกษาเรื่องสำนวนโวหารในหัวข้อต่อไป ตัวอย่างการเขียนเนื้อเรื่องแต่ละย่อหน้า “อ๋า” เป็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ อายุแค่ ๑๒ ปีครั้งที่ลืมตาดูโลกได้แค่ ๓ เดือน แม่ก็ทอดทิ้ง ไป...ส่วนพ่อนั้นไม่เคยรักและห่วงใยอ๋าเลยสิ่งเดียวที่มีค่าที่สุดในชีวิตของพ่อคือ เฮโรอีน... ย่า...ลุง ... ป้าและอา ตอกย้ำให้อ๋าฟังเสมอว่า “อย่าทำตัวเลว ๆ เหมือนพ่อแกที่ติดเฮโรอีนจนตาย” หรือ “กลัวแกจะเจริญรอยตามพ่อเพราะเชื้อมันไม่ทิ้งแถวติดคุกหัวโตเหมือนพ่อแก” คำพูดสารพัดที่อ๋ารับฟังมาตั้งแต่ยังพอจำความได้ซึ่งอ๋าพยายามคิดตามประสาเด็กว่า “เป็นคำสั่งสอน” …หรือ “ประชดประชัน” กันแน่... ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของอ๋าถ้าเอ๋ยไปหลายคนคงรู้จักเพราะเป็นพวกเศรษฐีที่ค้าขาย เป็นหลักอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดชลบุรีมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ปู่กับย่ามีลูกทั้งหมด ๙ คน ทุกคนร่ำเรียนกันสูง ๆและออกมาประกอบธุรกิจร่ำรวยเป็นล่ำเป็นสัน ยกเว้นพ่อของอ๋า ซึ่งไม่ยอมเรียน.. ประพฤติตนเสียหาย ... คบเพื่อนชั่ว ...จนติดเฮโรอีน และฉีดเข้าเส้นจนตายคาเข็ม ผลาญเงินปู่กับย่าไปมากมาย ยังทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลป่นปี้ปู่ช้ำใจจนตาย ส่วนย่าอกตรมจมทุกข์อยู่จนทุกวันนี้ พวกลุง...ป้าและอาต่างพากันเกลียดพ่อมากและก็ลาม มาถึง “อ๋า” ซึ่งเปรียบเสมือน“ลูกตุ้ม” ถ่วงวงศ์ตระกูล (คัดจากจันทิมา “ไอ้เลือดชั่ว” คอลัมน์ อนาคตไทยฐานสัปดาห์วิจารณ์ ฉบับที่ ๖๑ (๗๑) วันที่ ๙ - ๑๕ มิ.ย. ๓๗ หน้า ๘๘ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียน พ.ศ. ๒๕๓๐) จากเนื้อหาในย่อหน้าต่าง ๆ ข้างต้นจะแบ่งเป็นส่วนต่าง ๆ ได้ดังนี้ ๑. คือส่วนที่เป็นเนื้อหา ๒. คือส่วนที่เป็นการอธิบาย ๓. คือส่วนที่เป็นอุทาหรณ์หรือการอ้างอิง ๔. คือส่วนที่เป็นตัวอย่าง ๓. การเขียนส่วนท้ายหรือส่วนสรุป ส่วนท้ายหรือส่วนสรุป ส่วนปิดเรื่องเป็นส่วนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับเนื้อหาส่วนอื่น ๆ โดยตลอดและเป็นส่วนที่บอกผู้อ่านว่าเรื่องราวที่เสนอมานั้นได้สิ้นสุดลงแล้ววิธีการเขียนส่วนท้ายมีด้วยกันหลายวิธี เช่น เน้นย้ำประเด็นหลักเสนอคำถามหรือข้อคิด สรุปเรื่อง เสนอความคิดของผู้เขียนขยายจุดประสงค์ของผู้เขียน หรือสรุปด้วยสุภาษิต คำคม สำนวนโวหารคำพังเพยอ้างคำพูดของบุคคล อ้างทฤษฎี หลักศาสนา หรือคำสอนและ บทร้อยกรองฯลฯ ๓.๑เน้นย้ำประเด็นหลักเช่น หน่วยงานของเราจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการที่รวดเร็ว ที่ซื่อตรง โปร่งใส ตรวจสอบได้เช่นนี้ต่อไป แม้การปฏิรูประบบราชการจะส่งผลให้หน่วยงานของเราต้องเปลี่ยนสังกัดไปอย่างไรก็ตาม นั่นเพราะเราตระหนักในบทบาทของเราในฐานะ“ข้าราชการ” แม้ว่าปัจจุบันเราจะถูกเรียกว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ก็ตาม ๓.๒เสนอคำถามหรือข้อคิดให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณเช่น เคราะห์กรรมทั้งหลายอันเกิดกับญาติพี่น้องและลูกหลานของผู้คนในบ้านเมืองของเรา อันเกิดจากความอำมหิตมักได้ของผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติดเหล่านี้เป็นสิ่งสมควรหรือไม่ กับคำว่า “วิสามัญฆาตกรรม” ท่านที่อ่านบทความนี้จบลงคงมีคำตอบให้กับตัวเองแล้ว ๓.๓สรุปเรื่องเช่น การกินอาหารจืด ร่างกายได้รับเกลือเล็กน้อย จะทำให้ชีวิตจิตใจร่าเริงแจ่มใสน้ำหนักตัวมากๆ จะลดลง หัวใจไม่ต้องทำหน้าที่หนัก ไตทำหน้าที่ได้ดีไม่มีบวมตามอวัยวะต่างๆ และเป็นการป้องกันโรคหัวใจ โรคไต หลอดเลือดแข็งความดันโลหิตสูง ข้ออักเสบ แผลกระเพาะอาหารและจะมีอายุยืนด้วย ๓.๔เสนอความคิดเห็นของผู้เรียนเช่น การปฏิรูปกระบวนการเรียนการสอนจะประสบผลสำเร็จหรือไม่คงมิใช่แค่การเข้ารับการอบรมเทคนิค วิธีการสอนเพียงอย่างเดียวยังขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอันสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดคือตัวผู้สอนถ้าผู้สอนมีใจและพร้อมจะรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับความกระตือรือร้น ที่จะพัฒนาตนเองเพื่อกลุ่มเป้าหมายคือผู้เรียนการปฏิรูปกระบวนการเรียน การสอนก็จะประสบความสำเร็จได้ ๓.๕ขยายจุดประสงค์ของผู้เขียน ควบคู่กับบทร้อยกรองเช่น แม้อาหารการกินและการออกกำลังกายจะทำให้คนเราสวยงามตามธรรมชาติอยู่ได้นานแต่วันหนึ่งเราก็คงหนีไม่พ้นวัฏจักรของธรรมชาติ คือ การเกิด แก่ เจ็บและตายร่างกายและความงามก็คงต้องเสื่อมสิ้นไปตามกาลเวลาฉะนั้นก็อย่าไปยึดติดกับความสวยงามมากนักแต่ควรยึดถือความงามของจิตใจเป็นเรื่องสำคัญ เพราะสิ่งที่จะเหลืออยู่ในโลกนี้เมื่อความตายมาถึงคือ ความดีความชั่วของเราเท่านั้นดังพระราชนิพนธ์ของพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรสในเรื่องกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ว่า พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา | ||||||||
แนวทางการเขียนเรียงความ
เมื่อได้ศึกษาองค์ประกอบอันจะนำไปใช้ในการเขียนเรียงความแล้วก่อนที่จะลงมือเขียนเรียงความผู้เขียนต้องเลือกเรื่องและประเภทของเรื่องที่จะเขียนหลังจากนั้นจึงวางโครงเรื่องให้ชัดเจนเพื่อเรียบเรียงเนื้อหาซึ่งการเรียบเรียงเนื้อหานี้ต้องอาศัยความสามารถในการเขียนย่อหน้าและการเชื่อมโยงย่อหน้าให้เป็นเนื้อหาเดียวกัน ๑. การเลือกเรื่องปัญหาสำคัญประการหนึ่งของผู้เขียนที่ไม่สามารถเริ่มต้นเขียนได้ คือไม่ทราบจะเขียนเรื่องอะไร วิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวคือหัดเขียนเรื่องใกล้ตัวของผู้เขียน หรือเรื่องที่ผู้เขียนมีประสบการณ์ดีรวมทั้งเรื่องที่ผู้เขียนมีความรู้เป็นอย่างดี หรือเขียนเรื่องที่สนใจเป็นเรื่องราว หรือเหตุการณ์ที่กำลังอยู่ในความสนใจของบุคคลทั่วไปนอกจากนี้ผู้เขียนอาจพิจารณาองค์ประกอบ ๔ ประการเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเลือกเรื่องที่จะเขียน ดังต่อไปนี้ก็ได้ ๑.๑ กลุ่มผู้อ่านผู้เขียนควรเลือกเขียนเรื่องสำหรับกลุ่มผู้อ่านเฉพาะและควรเป็นกลุ่มผู้อ่านที่ผู้เขียนรู้จักดีทั้งในด้านการศึกษา ประสบการณ์ วัย ฐานะความสนใจและความเชื่อ ๑.๒ ลักษณะเฉพาะของเรื่องเรื่องที่มีลักษณะพิเศษจะดึงดูดใจให้ผู้อ่านสนใจ ลักษณะพิเศษดังกล่าวได้แก่ ความแปลกใหม่ ความถูกต้องแม่นยำ แสดงความมีรสชาติ ๑.๓ เวลาเรื่องที่จะเขียนหากเป็นเรื่องที่อยู่ในกาลสมัยหรือเป็นปัจจุบันจะมีผู้สนใจอ่านมาก ส่วนเรื่องที่พ้นสมัยจะมีผู้อ่านน้อยนอกจากนี้การให้เวลาในการเขียนของผู้เขียนก็เป็นสิ่งสำคัญถ้าผู้เขียนมีเวลามากก็จะมีเวลาค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อการเขียนและการอ้างอิงได้มากถ้าผู้เขียนมีเวลาน้อย การเขียนด้วยเวลาเร่งรัดก็อาจทำให้เนื้อหาขาดความสมบูรณ์ ด้านการอ้างอิง ๑.๔ โอกาส การเขียนเรื่องประเภทใดขึ้นอยู่กับโอกาสด้วย เช่นในโอกาสเทศกาลและวันสำคัญของทางราชการและทางศาสนาก็เลือกเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับโอกาสหรือเทศกาลนั้น ๆ เป็นต้น ๒. ประเภทของเรื่องที่จะเขียน การแบ่งประเภทของเรื่องที่จะเขียนนั้นพิจารณาจากจุดมุ่งหมายในการเขียน ซึ่งแบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ ๒.๑ เรื่องที่เขียนเพื่อความรู้เป็นการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์รวมทั้งหลักการตลอดจนข้อเท็จจริงต่างๆใช้วิธีเขียนบอกเล่าหรือบรรยายรายละเอียด ๒.๒ เรื่องที่เขียนเพื่อความเข้าใจเป็นการอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจความรู้ หลักการ หรือประสบการณ์ต่าง ๆการเขียนเพื่อความเข้าใจมักควบคู่ไปกับการเขียนเพื่อให้เกิดความรู้ ๒.๓ การเขียนเพื่อโน้มน้าวใจ เป็นการเขียนเพื่อให้ผู้อ่านเชื่อถือและยอมรับเพื่อให้ผู้อ่านได้รับอรรถรสทางใจให้สนุกสนาน เพลิดเพลินไปกับข้อเขียนนั้น ๆ ๓. การวางโครงเรื่องก่อนเขียน การเขียนเรียงความเป็นการเสนอความคิดต่อผู้อ่านผู้เขียนจึงต้องรวบรวมเลือกสรรและจัดระเบียบความคิดแล้วนำมาเรียบเรียงเป็นโครงเรื่อง การรวบรวมความคิด อาจจะรวบรวมข้อมูลจากประสบการณ์ของผู้เขียนเองนำส่วนที่เป็นประสบการณ์ตรงและประสบการณ์ทางอ้อม ซึ่งเกิดจากการฟัง การอ่านการพูดคุย ซักถาม เป็นต้น เมื่อได้ข้อมูลแล้วก็นำข้อมูลมาจัดระเบียบความคิด โดยจัดเรียงลำดับตามเวลา เหตุการณ์ ความสำคัญและเหตุผลแล้วจึงเขียนเป็นโครงเรื่อง เพื่อเป็นแนวทางให้งานเขียนอยู่ในกรอบไม่ออกนอกเรื่อง และสามารถนำมาเขียนขยายความเป็นเนื้อเรื่องที่สมบูรณ์เขียนชื่อเรื่องไว้กลางหน้ากระดาษ เลือกหัวข้อที่น่าสนใจที่สุดเป็นคำนำและเลือกหัวข้อที่น่าประทับใจที่สุดเป็นสรุป นอกนั้น เป็นเนื้อเรื่อง ๓.๑ ชนิดของโครงเรื่อง การเขียนโครงเรื่องนิยมเขียน ๒ แบบ คือ โครงเรื่องแบบหัวข้อและโครงเรื่องแบบ ประโยค ๓.๑.๑ โครงเรื่องแบบหัวข้อ เขียนโดยใช้คำหรือวลีสั้น ๆ เพื่อเสนอประเด็นความคิด ๓.๑.๒ โครงเรื่องแบบประโยค เขียนเป็นประโยคที่สมบูรณ์ โครงเรื่องแบบนี้มีรายละเอียดที่ชัดเจนกว่าโครงเรื่องแบบหัวข้อ ๓.๒ ระบบในการเขียนโครงเรื่อง การแบ่งหัวข้อในการวางโครงเรื่องอาจแบ่งเป็น ๒ ระบบ คือ ๓.๒.๑ ระบบตัวเลขและตัวอักษร เป็นระบบที่นิยมใช้กันทั่วไปโดยกำหนดตัวเลขหรือประเด็นหลัก และตัวอักษรสำหรับประเด็นรอง ดังนี้ ๑) ................................................................................................ ก. ........................................................................................ ข. ......................................................................................... ๒) ................................................................................................ ก. ........................................................................................ ข. ......................................................................................... ๓.๒.๒ ระบบตัวเลขเป็นการกำหนดตัวเลขหลักเดียวให้กับประเด็นหลักและตัวเลขสองหลัก และสามหลักให้กับประเด็นรอง ๆ ลงไป ดังนี้ ๑) ................................................................................................. ๑.๑ ...................................................................................... ๑.๒ ..................................................................................... ๒) ................................................................................................. ๒.๑ ..................................................................................... ๒.๒ .................................................................................... ๓.๓ หลักในการวางโครงเรื่องหลักในการวางโครงเรื่องนั้นควรแยกประเด็นหลักและประเด็นย่อยจากกันให้ชัดเจนโดยประเด็นหลักทุกข้อควรมีความสำคัญเท่ากันส่วนประเด็นย่อยจะเป็นหัวข้อที่สนับสนุน ประเด็นหลัก ทั้งนี้ทุกประเด็นต้องต่อเนื่องและสอดคล้องกัน จึงจะเป็นโครงเรื่องที่ดี ตัวอย่างโครงเรื่องแบบหัวข้อ เรื่องปัญหาการติดยาเสพติดของวัยรุ่นไทย ๑) สาเหตุของการติดยาเสพติด ก. ตามเพื่อน ข. การหย่าร้างของบิดามารดา ค. พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก ง. การบังคับขู่เข็ญ ๒) สภาพปัญหาของการติดยาเสพติดของวัยรุ่นไทย ก. จำนวนผู้ติดยา ข. การก่ออาชญากรรม ค. การค้าประเวณี ๓) แนวทางการแก้ไขปัญหา ก. การสร้างภูมิต้านทานในครอบครัว ข. การสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง ค. กระบวนการบำบัดรักษาแบบผสมผสาน ตัวอย่างโครงเรื่องแบบประโยค เรื่องปัญหาการติดยาเสพติดของวัยรุ่นไทย ๑) สาเหตุของการติดยาเสพติด มีหลายสาเหตุทั้งสาเหตุที่เกิดจากตัวเองและจากสิ่งแวดล้อม ก. เสพตามเพื่อน เพราะความอยากลอง คิดว่าลองครั้งเดียวคงไม่ติด ข. บิดา มารดา หย่าร้างกัน ลูกอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำให้รู้สึกหว้าเหว่ เหงาและเศร้าลึกๆ ค. พ่อแม่ให้เวลากับการทำงานหาเงินและการเข้าสังคม ไม่มีเวลาให้ครอบครัว ง. ในโรงเรียนมีกลุ่มนักเรียนที่ทั้งเสพและค้ายาเสพติดเองใช้กำลังข่มขู่บีบบังคับให้ซื้อยา ๒) สภาพปัญหาของการติดยาเสพติดของวัยรุ่นไทย ก. จำนวนวัยรุ่นไทยที่ติดยาเสพติดในปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ข. ปัญหาที่ตามมาของการติดยาเสพติดคือการก่ออาชญากรรมทุกประเภท ค. ในหมู่วัยรุ่นหญิงที่ติดยาเสพติด มักตกเป็นเหยื่อของการค้าประเวณีในที่สุด ๓) แนวทางการแก้ไขปัญหา ก. การให้ความรัก ความอบอุ่น และความเอื้ออาทร รวมทั้งการมีเวลาให้กับคนในครอบครัว เป็นภูมิต้านทานปัญหายาเสพติดได้อย่างดี ข. การทำให้คนในชุมชนรักชุมชนช่วยเหลือแก้ปัญหาในชุมชนจะเป็นเกราะป้องกันปัญหายาเสพติดได้อย่างดี เพราะเขาร่วมกันสอดส่องดูและป้องกัน ชุมชนของตนเองจากยาเสพติด ค. สังคมใดที่มีผู้คนสนใจใฝ่รู้ ใฝ่แสวงหาข้อมูลข่าวสารผู้คนจะมีความรู้เพียงพอที่จะพาตัวให้พ้นจากภัยคุกคามทุกรูปแบบด้วยปัญญาความรู้ที่มี ง. กระบวนการบำบัดผู้ติดยามิให้กลับมาติดใหม่ ทำได้ด้วยการให้การรักษาทางยาควบคู่กับการบำบัดทางจิตใจ ด้วยการใช้การปฏิบัติทางธรรม ซึ่งจะเป็นภูมิต้านทานทางใจที่ถาวร ๔. การเขียนย่อหน้าการย่อหน้าเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะจะช่วยให้ผู้อ่านอ่านเข้าใจง่ายและอ่านได้เร็ว มีช่องว่างให้ได้พักสายตาผู้เขียนเรียงความได้ดีต้องรู้หลักในการเขียนย่อหน้า และนำย่อหน้าแต่ละย่อหน้ามาเชื่อมโยงให้สัมพันธ์กัน ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ต้องมีสาระเพียงประการเดียว ถ้าจะขึ้นสาระสำคัญใหม่ต้องขึ้นย่อหน้าใหม่ ดังนั้นการย่อหน้าจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสาระสำคัญที่ต้องการเขียนถึงในเนื้อเรื่องแต่อย่างน้อยเรียงความต้องมี ๓ ย่อหน้า คือย่อหน้าที่เป็นคำนำเนื้อเรื่องและสรุป ๔.๑ ส่วนประกอบย่อหน้า ย่อหน้า ๑ ย่อหน้าประกอบด้วยประโยคใจความสำคัญและประโยคขยายใจความสำคัญหลาย ๆ ประโยคมาเรียบเรียงต่อเนื่องกัน ๔.๒ ลักษณะของย่อหน้าที่ดี ย่อหน้าที่ดีควรมีลักษณะ ๓ ประการ คือ เอกภาพ สัมพันธภาพและสารัตถภาพ ๑) เอกภาพ คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมีประโยคใจความสำคัญ ในย่อหน้าเพียงหนึ่งส่วนขยายหรือสนับสนุนต้องกล่าวถึงใจความสำคัญนั้น ไม่กล่าวนอกเรื่อง ๒) สัมพันธภาพ คือการเรียบเรียงข้อความในย่อหน้าให้เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันมีการลำดับความอย่างมีระเบียบนอกจากนี้ยังควรมีความสัมพันธ์กับย่อหน้าที่มีมาก่อนหรือย่อหน้าที่ตามมาด้วย ๓) สารัตภาพ คือการเน้นความสำคัญของย่อหน้าแต่ละย่อหน้าและของเรื่องทั้งหมดโดยใช้ประโยคสั้น ๆ สรุปกินความทั้งหมดอาจทำได้โดยการนำประโยคใจความสำคัญมาไว้ตอนต้น หรือตอนท้ายย่อหน้าหรือใช้สรุปประโยคหรือวลีที่มีลักษณะซ้ำ ๆ กัน ๕. การเชื่อมโยงย่อหน้า การเชื่อมโยงย่อหน้าทำให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างย่อหน้าเรียงความเรื่องหนึ่งย่อมประกอบด้วยย่อหน้าหลายย่อหน้าการเรียงลำดับย่อหน้าตามความเหมาะสมจะทำให้ข้อความ เกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องเดียวกันวิธีการเชื่อมโยงย่อหน้าแต่ละย่อหน้าก็เช่นเดียวกับการจัดระเบียบความคิดในการวางโครงเรื่อง ซึ่งมีด้วยกัน ๔ วิธี คือ ๕.๑ การลำดับย่อหน้าตามเวลา อาจลำดับตามเวลาในปฏิทินหรือตามเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นก่อนไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง ๕.๒ การลำดับย่อหน้าตามสถานที่ เรียงลำดับข้อมูลตามสถานที่หรือตามความ เป็นจริงที่เกิดขึ้น ๕.๓ การลำดับย่อหน้าตามความสำคัญ เรียงลำดับตามความสำคัญมากที่สุด สำคัญรองลงมาไปถึงสำคัญน้อยที่สุด ๕.๔ การลำดับย่อหน้าตามเหตุผล อาจเรียงลำดับจากเหตุไปหาผล หรือผลไปเหตุ ๖. สำนวนภาษา ยึดหลักการใช้ภาษาดังนี้ ๖.๑ ใช้ภาษาให้ถูกหลักภาษา เช่น การใช้ลักษณะนาม ปากกาใช้ว่า“ด้าม” รถใช้ว่า “คัน” พระภิกษุใช้ว่า “รูป” เป็นต้นนอกจากนี้ไม่ควรใช้สำนวนภาษาต่างประเทศ เช่นขณะที่ข้าพเจ้าจับรถไฟไปเชียงใหม่ ควรใช้ว่าขณะที่ข้าพเจ้าโดยสารรถไฟไปเชียงใหม่ บิดาของข้าพเจ้าถูกเชิญไปเป็นวิทยากรควรใช้ บิดาของข้าพเจ้าได้รับเชิญไปเป็นวิทยากร ๖.๒ ไม่ควรใช้ภาษาพูด เช่น ดีจัง เมื่อไหร่ ทาน ฯลฯ ควรใช้ภาษาเขียน ได้แก่ ดีมาก เมื่อไรรับประทาน ๖.๓ ไม่ควรใช้ภาษาแสลง เช่น พ่น ฝอย แจวอ้าว สุดเหวี่ยง ฯลฯ ๖.๔ ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์ยากที่ไม่จำเป็น เช่นปริเวทนาการ ฯลฯ ซึ่งมีคำที่ง่ายกว่าที่ควรใช้คือคำว่า วิตกหรือใช้คำที่ตนเองไม่ทราบความหมายที่แท้จริง เช่นบางคนใช้คำว่าใหญ่โตรโหฐาน คำว่า รโหฐานแปลว่า ที่ลับ ที่ถูกต้องใช้ใหญ่โตมโหฬาร เป็นต้น ๖.๕ ใช้คำให้ถูกต้องตามกาลเทศะและบุคคล เช่น คำสุภาพ คำราชาศัพท์ เป็นต้น ๖.๖ ผูกประโยคให้กระชับ“ถ้าเจ้าดินช้าเช่นนี้เมื่อไรจะไปถึงที่หมายสักที” หรือประโยคว่า“อันธรรมดาคนเราเกิดมาในโลกนี้ บ้างก็เป็นคนดี บ้างก็เป็นคนชั่ว” ควรใช้ว่า“คนเราย่อมมีทั้งดีและชั่ว” เป็นต้น ๗. การใช้หมายเลขกำกับหัวข้อในเรียงความจะไม่ใช้หมายเลขกำกับ ถ้าจะกล่าวแยกเป็นข้อ ๆ จะใช้ว่าประการที่ ๑ ......ประการที่ ๒ ...... หรือประเภทที่ ๑ ..... ประเภทที่ ๒.....แต่จะไม่ใช้เป็น ๑ ..... ๒ ..... เรียงลำดับแบบการเขียนทั่วไป ๘. การแบ่งวรรคตอนและเครื่องหมายวรรคตอนเครื่องหมายวรรคตอน เช่น มหัพภาค (.) อัฒภาค (;) จุลภาค (,) นั้นไทยเลียนแบบฝรั่งมาจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ ถ้าใช้ต้องใช้ให้ถูกต้องถ้าไม่ใช้ก็ใช้แบบไทยเดิม คือการเว้นวรรคตอน โดยเว้นเป็นวรรคใหญ่ วรรคน้อยตามลักษณะประโยคที่ใช้ ๙. สำนวนโวหาร สำนวนกับโวหารเป็นคำที่มีความหมายอย่างเดียวกันนำมาซ้อนกัน หมายถึงชั้นเชิงในการเรียบเรียงถ้อยคำ ในการเขียนเรียงความสำนวนโวหารที่ใช้มี ๕แบบ คือ ๙.๑ แบบบรรยาย หรือที่เรียกกันว่าบรรยายโวหารเป็นโวหารเชิงอธิบาย หรือเล่าเรื่องอย่างถี่ถ้วนโวหารแบบนี้เหมาะสำหรับเขียนเรื่องประเภทให้ความรู้ เช่น ประวัติตำนานบันทึกเหตุการณ์ ฯลฯ ตัวอย่างบรรยายโวหาร เช่น “ขณะที่เราขับรถขึ้นเหนือไปนครวัดเราผ่านบ้านเรือนซึ่งประดับด้วยธงสีน้ำเงินและแดงไว้นอกบ้านเราไปหยุดที่หน้าวัด ซึ่งประตูทางเข้าตกแต่งด้วยดอกไม้และเครือเถาไม้ ในเขตวัดสงฆ์ห่มจีวรสีส้มสนทนาปราศรัยกับผู้คนที่ไปนมัสการอยู่ในปะรำไม้ปลูกขึ้นเป็นพิเศษความประสงค์ที่เราไปหยุดที่วัดก็เพื่อก่อพระทรายอันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในวันขึ้นปีใหม่ตามศรัทธาของพุทธศาสนิกชน การก่อพระทรายเป็นพิธีบุญอธิษฐานขอพรอย่างหนึ่ง งานเทศกาลนี้เป็นเวลาที่วัดทุก ๆ วัดจะต้องเก็บกวาดให้สะอาดที่สุด มีการสรงน้ำพระพุทธรูปเป็นประจำปีเพื่อขอให้ฝนตกโดยเร็ว” (จากสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา“วันปีใหม่ที่นครวัด” งานเทศกาลในเอเซีย เล่ม ๑โครงการความร่วมมือทางด้านการพิมพ์ ชุดที่ ๒ศูนย์วัฒนธรรมแห่งเอเซียของยูเนสโก ๙.๒ แบบพรรณนา หรือที่เรียกกันว่า พรรณนาโวหาร คือโวหารที่กล่าว เป็น เรื่องราวอย่างละเอียดให้ผู้อ่านนึกเห็นเป็นภาพโดยใช้ถ้อยคำที่ทำให้ผู้อ่านเกิดภาพในใจ (มโนภาพ)ขึ้นโวหารแบบนี้สำหรับชมความงามของบ้านเมือง สถานที่ บุคคล เกียรติคุณคุณความดีต่าง ๆ ตลอดจนพรรณนาอานุภาพของกษัตริย์และพรรณนาความรู้สึกต่าง ๆเช่น รัก โกรธ แค้น ริษยา โศกเศร้า เป็นต้น ตัวอย่างพรรณนาโวหาร เช่น “เมื่อถึงตอนน้ำตื้นพวกฝีพายต่างช่วยกันถ่อ ทางน้ำค่อยกว้างออกไปเป็นหนองน้ำใหญ่ แต่น้ำสงบนิ่ง น่าประหลาดป่าร่นแนวไปจากริมหนองปล่อยให้ต้นหญ้าสีเขียวจำพวกอ้อคอยรับแสงสะท้อนสีน้ำเงินแก่จากท้องฟ้าปุยเมฆสีม่วงลอยไปมาเหนือศีรษะ ทอดเงาลงมาใต้ใบบัวและดอกบัวสีเงินเรือนเล็กหลังหนึ่ง สร้างไว้บนเสาสูง แลดูดำเมื่อมมาแต่ไกลตัวเรือนมีต้นชะโอนสองต้น ซึ่งดูเหมือนจะขึ้นอยู่ในราวป่าเบื้องหลังเอนตัวลงเหนือหลังคา ทั้งต้นและใบคล้ายจะเป็นสัญญาณว่ามีความเศร้าโศกสุดประมาณ” (จากทองสุข เกตุโรจน์ “ทะเลใน” แปลและเรียบเรียงจากเรื่อง “The Lagoon” ของ Joseph Conrad การเขียนแบบสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง๒๕๑๙) ๙.๓ แบบอุปมา หรือที่เรียกว่าอุปมาโวหาร คือโวหารที่ยกเอาข้อความ มาเปรียบเทียบเพื่อประกอบความให้เด่นชัดขึ้นในกรณีที่หาถ้อยคำมาอธิบายให้เข้าใจ ได้ยากเช่นเรื่องที่เป็นนามธรรมทั้งหลายการจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจเด่นชัดควรนำสิ่งที่มีตัวตน หรือสิ่งที่คิดว่าผู้อ่านเคยพบมาเปรียบเทียบหรืออาจนำกิริยาอาการ ของสิ่งต่าง ๆ มาเปรียบเทียบก็ได้ เช่นเย็นเหมือนน้ำแข็ง ขาวเหมือนดั่งสำลี ไวเหมือนลิง บางทีอาจนำความรู้สึกที่สัมผัสได้ทางกายมาเปรียบเทียบเป็นความรู้สึกทางใจ เช่นร้อนใจดังไฟเผา รักเหมือนแก้วตา เป็นต้นโวหารแบบนี้มักใช้แทรกอยู่ในโวหารแบบอื่น ตัวอย่างอุปมาโวหาร เช่นความสวยเหมือนดอกไม้ เมื่อถึงเวลาจะร่วงโรยไปตามอายุขัยแต่ความดีเหมือนแผ่นดิน ตราบใดที่โลกดำรงอยู่ ผืนดินจะไม่มีวันสูญหายได้เลยความดีจึงเป็นของคู่โลกและถาวร กว่าความสวยควรหรือไม่ถ้าเราจะหันมาเทิดทูนความดีมากกว่าความสวย เราจะได้ทำแต่สิ่งที่ถูกเสียที ๙.๔ แบบสาธก หรือสาธกโวหาร สาธกหมายถึง ยกตัวอย่างมาอ้างให้เห็นสาธกโวหาร จึงหมายถึงโวหารที่ยกตัวอย่างมาประกอบอ้างเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่อง ให้ชัดเจนขึ้น ตัวอย่างที่ยกมาอาจจะเป็นตัวอย่างบุคคล เหตุการณ์หรือนิทาน โวหารแบบนี้มักแทรกอยู่ในโวหารแบบอื่น เช่นเดียวกับอุปมาโวหาร ตัวอย่างสาธกโวหารเช่น “... พึงสังเกตการบูชาในทางที่ผิดให้เกิดโทษ ดังต่อไปนี้ ในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์เมืองตักศิลามีเด็กวัยรุ่นเป็นลูกศิษย์อยู่หลายคนเรียนวิชาต่างกันตามแต่เขาถนัด มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งชื่อสัญชีวะอยู่ในหมู่นั้นเรียนเวทย์มนต์ เสกสัตว์ตายให้ฟื้นคืนชีพได้ตามธรรมเนียมการเรียนเวทย์มนต์ต้องเรียนผูกและเรียนแก้ ไปด้วยกันแต่เขาไม่ได้เรียนมนต์แก้” มาวันหนึ่งสัญชีวะกับเพื่อนหลายคนพากันเข้าป่าหาฟืนตามเคยได้พบเสือโคร่งตัวหนึ่งนอนตายอยู่ “นี่แน่ะเพื่อน เสือตาย” สัญชีวะเอ่ยขึ้น“ข้าจะเสกมนต์ให้เสือตัวนี้ฟื้นคืนชีพขึ้น คอยดูนะเพื่อน” “แน่เทียวหรือ” เพื่อนคนหนึ่งพูด “ลองปลุกมันให้คืนชีพลุกขึ้นดูซิ ถ้าเธอ สามารถ” แล้วเพื่อน ๆ อื่น ๆ ขึ้นต้นไม้คอยดู “แน่ซี่น่า” สัญชีวะยืนยันแล้วเริ่มร่ายมนต์ เสกลงที่ร่างเสือพอเจ้าเสือฟื้นลืมตาลุกขึ้นยืนรู้สึกหิวมองเห็นสัญชีวะพอเป็นอาหารแก้หิวได้ จึงสะบัดแยกเขี้ยวอวดสัญชีวะและคำรามวิ่งปราดเข้ากัดก้านคอสัญชีวะล้มตายลงเมื่ออาจารย์ได้ทราบข่าวก็สลดใจและอาลัยรักในลูกศิษย์มากจึงเปล่งอุทานขึ้นว่า “นี่แหละ ผลของการยกย่องในทางที่ผิดผู้ยกย่องคนเลวร้าย ยอมรับนับถือเขาในทางมิบังควรต้องได้รับทุกข์ถึงตายเช่นนี้เอง” (จาก ฐะปะนีย์ นาครทรรพ การประพันธ์ ท. ๐๔๑ อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๑๙ หน้า ๙) ๙.๕ แบบเทศน์ หรือเทศนาโวหาร คือโวหารที่อธิบายชี้แจงให้ผู้อ่านเชื่อถือ ตามโดยยกเหตุผล ข้อเท็จจริงอธิบายคุณโทษ แนะนำสั่งสอน ตัวอย่างเช่น “คนคงแก่เรียนย่อมมีปรีชาญาณฉลาดคิด ฉลาดทำ ฉลาดพูดและมีความรู้สึกสูง สำนึกในผิดชอบชั่วดีไม่กล้าทำในสิ่งที่ผิดที่ชั่ว เพราะรู้สึกละอายขวยเขินแก่ใจและรู้สึกสะดุ้ง หวาดกลัว ต่อผลร้ายอันพึงจะได้รับ รู้สึกอิ่มใจในความถูกต้องรู้สึกเสียใจในความผิดพลาด และรู้เท่าความถูกผิดนั้นว่ามิได้อยู่ที่ดวงดาวประจำตัว แต่อยู่ที่การกระทำของตัวเอง พึงทราบว่าความฉลาดคิด ฉลาดทำ ฉลาดพูดและความรู้สึกสูง ทำให้คิดดีที่จริงและคิดจริงที่ดี ทำดีที่จริงทำจริงที่ดี และพูดดีที่จริง พูดจริงที่ดี นี่คือวิธีจรรยาของคนแก่เรียน (จาก ฐะปะนีย์ นาครทรรพ การประพันธ์ ท. ๐๔๑ อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๑๙ หน้า ๘) โวหารต่าง ๆดังกล่าวเมื่อใช้เขียนเรียงความเรื่องหนึ่ง ๆไม่ได้หมายความว่าจะใช้เพียงโวหารใดโวหารหนึ่งเพียงโวหารเดียวการเขียนจะใช้หลาย ๆ แบบประกอบกันไปแล้วแต่ความเหมาะสมตามลักษณะเนื้อเรื่องที่เขียน การเขียนเรียงความเป็นศิลปะ หลักการต่าง ๆ ที่วางไว้ไม่ได้เป็นหลักตายตัวอย่าง คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงเป็นเพียงแนวปฏิบัติและข้อเสนอแนะ ในการเขียนอาจพลิกแพลงได้ตามความเหมาะสมที่เห็นสมควร | ||||||||
ตัวอย่างเรียงความเรื่อง สามเส้า
ครัวไทยแต่ก่อนครั้งหุงข้าวด้วยฟืนนั้นมีสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ ก้อนเส้า เรายังหาครัวอย่างนี้ดูได้ในชนบทก้อนเส้านั้นอาจเป็นดินหรือก้อนหิน มีสามก้อนตั้งชนกันมีช่องว่างสำหรับใส่ฟืนก้อนเส้าสามก้อนนี้เองเป็นที่สำหรับตั้งหม้อข้าวหม้อแกงอันเป็นอาหารประจำชีวิต ของคนไทย ดู ๆ ไปก้อนเส้าสามก้อนนั้นก็เป็นสัญลักษณ์ของชาติไทยเพราะชาติไทยแต่ไหน แต่ไรมาก็ตั้งอยู่บนก้อนเส้าสามก้อนนั้น มีชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ พระพุทธศาสนา ก็ประกอบด้วยก้อนเส้าสามก้อนคือ พระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ ก้อนเส้าสามก้อนหรือสามเส้านี้เมื่อคิดไปอีกทีก็เป็นคติอันดีที่เราน่าจะยึดเป็นเครื่องเตือนใจภาษิตจีนมีว่า คนเราจะมีชีวิตมั่นคง จะต้องนั่งบนม้าสามขาม้าสามขาตามภาษิตจีนนั้นหมายถึง สิ่งสำคัญสามอย่างที่พยุงชีวิตเราสิ่งสำคัญนั้นจะเป็นอะไรก็ได้แต่ต้องมีสามขา ถ้ามีเพียงสองชีวิตก็ยังขาดความมั่นคง ภาษิตจีนนี้ฟังคล้าย ๆ “สามเส้า” คือว่าชีวิตของเราตั้งอยู่บนก้อนสามก้อน จึงมีความมั่นคง ก็ก้อนเส้าทั้งสามสำหรับชีวิตนี้คืออะไรต่างคนอาจหาก้อนเส้าทั้งสามสำหรับชีวิตของตัวเองได้บางท่านอาจยึดพระไตรลักษณ์คือ ความทุกข์ ๑ ความไม่เที่ยง ๑ และความไม่ใช่ ตัวของเรา ๑เป็นการยึดเพื่อทำใจมิให้ชอกช้ำขุ่นมัวในยามที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือจะใช้เป็นเครื่องเตือนมิให้เกิดความทะเยอะทะยานตนทำลายสันติสุขของชีวิตก็ได้บางคนยึด ไตรสิกขาเป็นก้อนเส้าทั้งสามแห่งการยังชีวิตคือ ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นหลัก แต่บางคน ที่เล็งประโยชน์ในทางโลกมีหลักว่าเขาต้องประกอบอาชีพสามทาง เช่นว่า รับราชการหรือรับจ้างทางหนึ่งหารายได้พิเศษในยามว่างทางหนึ่งและศึกษาหาความรู้ต่อกันอันเป็นเครื่องเสริมอาชีพทางหนึ่ง ก้อนเส้าสามก้อนของบางคนอาจเป็นเช่นนี้ และเมื่อมีก้อนเส้าสามก้อนดังนี้ ก็เปรียบเหมือนตั้งหม้อข้าวบนก้อนเส้าสามก้อนในครัวซึ่งแน่นอนว่าเรา จะต้องได้กินข้าวถ้าตั้งเพียงสองก้อนเราก็ไม่แน่ใจว่าหม้อข้าวจะหกคว่ำลงเมื่อใด
สำหรับข้าพเจ้าเองก้อนเส้าทั้งสามของข้าพเจ้าก็คือ ตัวของตัวเอง ความรู้และโอกาสเมื่อกล่าวดังนี้ท่านอาจยังสงสัยว่าข้าพเจ้ายึดสามเส้านี้อย่างไรจะขอเริ่มด้วยตัวเอง คนเรา ต้องยึดตัวเองก่อน คือ ต้องทำตัวไว้ในความดีต้องรักตัวรักตัวนี้คือการพยายามตั้งตัวไว้ใน ความดี ไม่ใช่การเห็นแก่ตัวหรือการนึกถึงตัวเป็นใหญ่ คนเราต้องรักตัวเองก่อน จึงจะรัก คนอื่นได้ช่วยผู้อื่นได้
ความรู้เป็นสิ่งสำคัญมากนโปเลียนกล่าวไว้ว่า คนเราจะมีปัญญาความสามารถเพียงใดก็ตามถ้าไม่มีโอกาสเสียแล้ว เราก็ไม่อาจใช้ความรู้ความสามารถได้และไม่อาจประสบความสำเร็จ หรือชื่อเสียงเกียรติยศได้ โอกาสจึงเป็นสิ่งสำคัญแต่ว่าโอกาสหรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง ช่องทางนั้นไม่ใช่จะมาหาเราเสมอไปเราต้องไปหามัน ต้องค้นหามัน และเมื่อพบแล้วต้องหยิบฉวยทันทีอย่างที่พูดกันว่าอย่าละโอกาส
เมื่อเราดำรงตนดีแล้ว พยายามหาความรู้ไว้เสมอและแสวงหาโอกาสช่องทางแล้ว ก็ไม่น่าสงสัยว่าเราจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความรุ่งเรืองไม่ได้ สามเส้าดังที่กล่าวนั้นคือ สามเส้าที่ข้าพเจ้ายึดเป็นหลักประจำชีวิตสามเส้าเป็นคติของชีวิต ข้าพเจ้าเชื่อว่าผู้ยึดคตินี้ คือคติที่ว่าชีวิตที่มั่นคงต้องอยู่บนสามเส้านั้น ต้องเป็นผู้ที่พบความสำเร็จเป็นแน่ (คัดจาก คณะอาจารย์ หมวดวิชาภาษาไทย วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา การใช้ภาษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา, ๒๕๑๗ หน้า ๑๓๐ - ๑๓๑) | ||||||||
สรุป
เรียงความเป็นการเขียนถึงความรู้ความคิดและประสบการณ์ของตนให้ผู้อื่นทราบโดยเขียนคำนำให้น่าสนใจ เขียนเนื้อเรื่องให้ชัดเจนและเขียนสรุปให้ผู้อ่านพอใจ นอกจากนี้ก็ต้องใช้สำนวนโวหารให้ถูกแบบและถูกกาลเทศะด้วย | ||||||||
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น