ใบความรู้ รายวิชาต่างๆ

มารยาทและคุณธรรมในการสื่อสาร
       การสื่อสารของมนุษย์ เป็นพฤติกรรมที่อาจแยกพิจารณาได้ 2 ด้าน คือ ด้านนอกและด้านใน ดังนี้
       พฤติกรรมด้านนอก เป็นพฤติกรรมที่ปรากฎให้เห็นชัดเจน ได้แก่ การแสดงกิริรยาอาการของผู้ส่งสารและผู้รับสาร การเปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำให้ได้ยิน การเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งการแสดงออกในรูปแบบอื่น ๆ 
       พฤติกรรมด้นใน คือการใช้ความคิด การเกิดความรู้สึก การตั้งเจตนา การอธิษฐาน การตั้งจุดประสงค์และปฏิกิริรยาอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในใจของผู้ส่งสารและผู้รับสาร
       มารยาทในการสื่อสาร เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ให้ได้ยิน หรือรับรู้ได้ จึงจัดว่าเป็นพฤติกรรมด้านนอก ส่วนคุณธรรมเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับพฤติกรรมด้านใน ไม่ปรากฎให้เห็นโดยตรง
    พฤติกรรมด้านนอกของการสื่อสาร จะถูกกำหนดโดยมารยาททางสังคม
    พฤติกรรมด้านใน จะถูกกำหนดโดยคุณธรรมประจำใจเป็นสำคัญ
    มารยาทในการสื่อสาร หมายถึงกิริยาวาจาที่เรียบร้อยถูกต้องตามคตินิยมของคนในสังคมนั้นๆ และจะเกี่ยวข้องกับคุณธรรมเรื่องความเคารพและไม่ละเมิดสิททธิซึ่งกันและกัน ครอบคลุมไปถึงพฤติกรรมการสื่อสารด้วย
     คุณธรรมที่สำคัญยิ่งในการสื่อสารคือ
1. ความมีสัจจะต่อกัน และไม่ละเมิดสิทธิซึ่งกันและกัน
2. ความรัก ความเคารพ และความปรารถนาดีต่อกัน
3. ความรับผิดชอบในสิ่งที่ตนพูดหรือกระทำ
     บุคคลที่มีคุณธรรมประจำใจนั้น เมื่อได้สื่อสารกับผู้อื่น การสื่อสารก็จะเป็นไปในทางที่ดีงามสร้างสรรค์ ก่อให้เกิดประโยชน์ และคุณค่าที่แท้จริง เรียกได้ว่า สื่อสารไปในทางวัฒนะ ตรงข้ามกับการสื่อสารแบบไร้คุณธรรม จะเป็นไปในทางทำลาย ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ เรียกว่าสื่อสารไปในทางหายนะ
   การสื่อสารของมนุษย์ แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ
1. การสื่อสารกับตนเอง
2. การสื่อสารระหว่างบุคคล
3. การสื่อสารสาธารณะ
4. การสื่อสารมวลชน

การสื่อสารกับตนเอง  หมายถึง การสื่อสารที่บุคคล คนเดียวเป็นทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสาร โดยธรรมชาติมนุษย์เรามักคิดโต้ตอบกับตนเองอยู่แล้ว เช่นการตัดสินใจอะไรบางอย่างด้วยตนเองเพียงลำพัง

การสื่อสารระหว่างบุคคล หมายถึง การสื่อสารของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป แต่ไม่ถึงกับเป็นกลุ่ม เรื่องที่สื่อสาร หรือสารเป็นเรื่องเฉพาะระหว่างบุคคล ซึ่งอาจไม่เกี่ยวข้องหรือเป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น แต่สามารถเปิดเผยได้ ถ้ามีผู้เห็นว่าเป็นประโยน์ต่อบุคคลอื่น 

การสื่อสารสาธารณะ หมายถึง การสื่อสารที่มีเป้าหมายไปยังสาธารณชน โดยมีเนื้อหาของสารที่อาจให้ความรู้และเป็นประโยชน์ ให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ความคิดเห็นที่มีคุณค่า และเปิดเผยได้แสมอโดยไม่จำกัดกาลเวลา

การสื่อสารมวลชน มีลักษณะคล้ายกับการสื่อสารสาธารณะ แต่ลักษณะเฉพาะของการสื่อสารมวลชนต้องอาศัยสื่อที่มีอำนาจการแพร่กระจายสูง รวดเร็ว และกว้างขวาง สิ่งที่เลือกนำเสนอนั้น อาจสนองประโยชน์ตามความต้องการและความจำเป็นของมวลชน หรือเป็นประโยชน์กับมวลชนก็ได้
การสื่อสารในครอบครัว
   ข้อควรคำนึงที่จะทำให้การสื่อสารในครอบครัวดำเนินไปด้วยดี มีดังนี้
1. สมาชิกในครอบครัวต้องคำนึงว่า แต่ละคนอาจมีประสบการณ์มาไม่เหมือนกัน ดังนั้นการใช้คำพูดสื่อสารของแต่ละบุคคลอาจทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันขึ้นได้
2. การเริ่มต้นพูดเรื่องราวที่เป็นกิจธุระบางอย่าง จำเป็นต้องเน้นถ้อยคำบาบงคำ เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันโดยทันที ไม่ก่อให้เกิดความสับสน
3. ความแตกต่างระหว่างวัย อาจทำให้การเข้าใจความหมายของถ้อยคำต่างกัน ทำให้เกิดอุปสรรคการสื่อสารได้
4.การสื่อสารในครอบครัวควรคำนึงถึงมารยาทที่ดีงามอยู่เป็นนิจ เพราะจะทำให้มารยาทเหล่านี้ติดตัวไปแม้เมื่อไปสื่อสารในกาลเทศะอื่น ๆ

การถามและการตอบ
ข้อควรคำนึงในการถามมีดังนี้
1.มารยาท โดยปกติเราไม่ถามเรื่องส่วนตัวของผู้ที่เราเพิ่งรู้จัก การใช้คำถา่มที่แสดงการยกตนข่มท่าน หรือคำถามแสดงความโอ้อวด
2. บุคคล เราต้องพิจารณาว่าผู้ที่เราถามเป็นใคร มีความรู้หรือความคิดในเรื่องนั้นเพียงใด สมควรที่เราจะถามหรือไม่ มีความสัมพันะ์กับเรามากน้อยเพียงไหน อยู่ในฐานะอย่างไร เพื่อเราจะได้ใช้ถ้อยคำที่เหมาะสม
3. กาลเทศะ ก่อนถามควรดูกาลเทศะ เช่นอารมณ์ของผู้ถูกถาม
4. สาระ คำถามควรมีสาระซึ่งแสดงว่าผู้ถามสนใจจริง ๆและมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นบ้างพอสมควร
5.ภาษา คำถามควรกะทัดรัดและชัดเจน มีเนื้อความเป้นลำดับ ไม่สับสน ไม่ถามหลายๆ ประเด็นพร้อมกัน 
การตอบที่ดี 
1.ตอบให้ตรงคำถาม
2.ตอบให้แจ่มแจ้ง
3.ตอบให้ครบถ้วน




ใบความรู้เรื่อง การทุจริต
ปัญหาการทุจริต เป็นปัญหาที่สำคัญทั้งของประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ปัญหาการทุจริตจะทำให้เกิดความเสื่อมในด้านต่างๆ เกิดขึ้น ทั้งสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และนับวันปัญหาดังกล่าวก็จะรุนแรงมากขึ้น และมีรูปแบบการทุจริตที่ซับซ้อน ยากแก่การตรวจสอบมากขึ้น จากเดิมที่กระทำเพียงสองฝ่าย ปัจจุบันการทุจริตจะกระทำกันหลายฝ่าย ทั้งผู้ดารงตำแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเอกชน โดยประกอบด้วยสองส่วนใหญ่ๆ คือ ผู้ให้ผลประโยชน์กับผู้รับผลประโยชน์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายนี้จะมีผลประโยชน์ร่วมกัน ตราบใดที่ผลประโยชน์สมเหตุสมผลต่อกัน ก็จะนำไปสู่ปัญหาการทุจริตได้ บางครั้งผู้ที่รับผลประโยชน์ก็เป็นผู้ให้ประโยชน์ได้เช่นกัน โดยผู้รับผลประโยชน์และผู้ให้ผลประโยชน์ คือ
. ผู้รับผลประโยชน์ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีอำนาจ หน้าที่ในการกระทำ การดำเนินการต่างๆ และรับประโยชน์จะเป็นไปในรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง การเรียกรับประโยชน์โดยตรง การกำหนดระเบียบหรือคุณสมบัติที่เอื้อต่อตนเองและพวกพ้อง
. ผู้ให้ผลประโยชน์ เช่น ภาคเอกชน โดยการเสนอผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ เช่น เงิน สิทธิพิเศษอื่นๆ เพื่อจูงใจให้นักการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อระเบียบหรือผิดกฎหมาย เป็นต้น
ทุจริต คืออะไร
คำว่าทุจริต มีการให้ความหมายได้มากมาย หลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าจะมีการให้ความหมายดังกล่าวไว้ว่าอย่างไร โดยที่คำว่าทุจริตนั้น จะมีการให้ความหมายโดยหน่วยงานของรัฐ หรือการให้ความหมายโดยกฎหมายซึ่งไม่ว่าจะเป็นการให้ความหมายจากแหล่งใด เนื้อหาสำคัญของคำว่าทุจริตก็ยังคงมีความหมายที่สอดคล้องกันอยู่ นั่นคือ การทุจริตเป็นสิ่งที่ไม่ดี มีการแสวหาหรือเอาผลประโยชน์ของส่วนรวม มาเป็นของส่วนตัว ทั้งๆ ที่ตนเองไม่ได้มีสิทธิในสิ่งๆ นั้น การยึดถือ เอามาดังกล่าวจึงถือเป็นสิ่งที่ผิด ทั้งในแง่ของกฎหมายและศีลธรรม
ดังนั้น การทุจริตคือ การคดโกง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต การกระทำที่ผิดกฎหมาย เพื่อให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน การใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิดเพื่อแสวงหาประโยชน์หรือให้ได้รับสิ่งตอบแทน การให้หรือการรับสินบน การกำหนดนโยบายที่เอื้อประโยชน์แก่ตนหรือพวกพ้องรวมถึงการทุจริตเชิงนโยบาย



ใบความรู้  เรื่อง จริยธรรม
ความดีงามทางสังคม ถือเป็นกฎเกณฑ์แห่งความประพฤติ หรือหลักความจริงที่เป็นแนวทางแห่งความประพฤติปฏิบัติให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็นสุข การศึกษาเรื่องจริยธรรม จึงเป็นหนึ่งในวิชาปรัชญาที่ศึกษาเกี่ยวกับความดีงามทางสังคมมนุษย์
ความหมายของ จริยธรรม
จริยธรรม หมายถึง สิ่งที่ทาได้ในทางวินัยจนเกิดความเคยชินมีพลังใจ มีความตั้งใจแน่วแน่จึงต้องอาศัยปัญญา และปัญญาอาจเกิดจากความศรัทธาเชื่อถือผู้อื่น ในทางพุทธศาสนาสอนว่า จริยธรรมคือการนำความรู้ ความจริงหรือกฎธรรมชาติมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตที่ดีงาม (พระราชวรมุนี)
พจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตสถาน (๒๕๔๖ ) ให้ความหมายของจริยธรรมไว้ว่า หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ
โคลเบิร์ก (Kohlberg ๑๙๗๒ : ๒๑๒) กล่าวถึงจริยธรรมว่า จริยธรรมเป็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เป็นกฎเกณฑ์และมาตรฐานของการประพฤติปฏิบัติในสังคมซึ่งบุคคลพัฒนาขึ้นจนกระทั่งมีพฤติกรรมเป็นของตนเอง โดยสังคมจะเป็นตัวตัดสินผลของการกระทำ นั้นว่าเป็นการกระทำ ที่ถูกหรือผิด

จากความหมายที่กล่าวมา สรุปได้ว่า จริยธรรม หมายถึงแนวทางซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม และเป็นลักษณะที่สังคมต้องการเป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมส่วนรวม บุคคลที่มีจริยธรรมอยู่ในตนเอง ย่อมเป็นที่ยอมรับนับถือของคนในสังคมและสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข เป็นคนที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับของสังคมส่วนรวม




ใบความรู้ภาษาอังกฤษ

กริยา 3 ช่อง คือ คำกริยาในภาษาอังกฤษ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่อง เช่น อดีต ปัจจุบัน อนาคต และบ่งบอกถึงเหตุการณ์ในเวลาต่างๆด้วยคำใช้แสดงถึงอาการ และช่วงเวลา คือ คำพูดที่แสดงการกระทำของ ประธาน หรือคำที่ทำหน้าที่ ช่วยคำกิริยา หากประโยคไม่มีคำกิริยา ความหมายอาจผิดเพี้ยนและไม่ทราบเหตุการณ์ว่า อยู่ในช่วง อดีต ปัจจุบัน อนาคต เพราะแปลว่าเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์

กริยา 3 ช่อง คือ คำกริยาในภาษาอังกฤษ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่อง เช่น อดีต ปัจจุบัน อนาคต และบ่งบอกถึงเหตุการณ์ในเวลาต่างๆด้วย

กิริยาช่องที่ 1 ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน หรือเล่าเหตุการณ์ทั่วไป

กิริยาช่องที่ 2 ใช้กล่าวถึง/เล่าเหตุการณ์ในอดีต

กิริยาช่องที่ 3 ใช้กล่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงไปอย่างสมบูรณ์ ทั้งในปัจจุบันและในอดีต เรียกว่า "ส่วนสมบูรณ์ของกิริยา"

คำกิริยา แบ่งออกเป็น 3 ช่อง คือ

1.  สหกรรมกิริยา (Transitive Verb) คือ คำกิริยาที่ต้องมีตัวกรรม ถ้าเกิดไม่มีคำอื่นเข้ามา ความหมายจะไม่สมบูรณ์ เช่น The boy talking with friend. หมายความว่า เด็กชากกำลังคุยกับเพื่อน คำว่า “talking” เป็นคำกิริยา บอกให้ทราบว่าขณะนี้ กำลังคุยอยู่ ส่วนคำว่า “with friend” เป็นตัวกรรม เป็นตัวทำหน้าที่รองรับคำกิริยาให้สมบูรณ์เพราะถ้าใช้คำว่า talking อย่างเดียว จะไม่รู้ว่า กำลังคุยกับใคร

2. อกรรมกิริยา (Intransitive Verb) คือ คำกิริยาที่ไม่ต้องมีตัวกรรม เพราะความหมายจะสมบูรณ์อยู่แล้ว เช่น The boy run in the forest.  ประโยคไม่ต้องมีตัวกรรม ก็ทำให้ประโยคสมบูรณ์ เพราะคำว่า “run” แปลว่า วิ่ง ความหมายจึงสมบูรณ์ครบถ้วนไม่ต้องมีตัวมาเติมเต็ม ซึ่งเรียกว่า อกรรมกิริยา

3. กิริยาช่วย (Helping Verb หรือ Auxiliary Verb) คือ กิริยาที่มีหน้าที่ช่วยกิริยาด้วยกัน และยังทำให้ตัวของตัวเองมีความหมายสมบูรณ์ ยิ่งขึ้น

ซึ่ง 3 ส่วนในข้างบนนี้ ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจ ก็จะสามารถ รู้ถึงหลักการของ กริยา 3 ช่อง

หลักการจำ กริยา 3 ช่อง ง่ายมากเพียงแค่ท่านนึกถึง สูตรคูณณิตศาสตร์ก็สามารถท่องได้ เพราะหลักของ กริยา 3 ช่อง ส่วนใหญ่ออกเสียงคล้ายกัน เพียงแค่เปลี่ยนนิดหน่อย ซึ่งความหมาย คล้ายกัน

ตัวอย่างกริยา 3 ช่อง ที่ใช้บ่อยในปัจจุบัน

ตารางกริยา 3 ช่อง แบบอปกติ

กริยาแบบอปกติ หรือกริยาผิดปกติ หมายถึง คำกริยาที่เปลี่ยนแปลงรูปร่างต่างกันทั้ง 3 ช่องบ้าง หรือต่างกันแค่ 2 ช่องบ้าง หรือไม่ต่างกันเลยก็มี

REGULAR VERB กริยาอปกติ

No

ช่อง 1

ช่อง 2

ช่อง 3

แปล

1

be = is, am, are

was, were

been

เป็น อยู่ คือ

2

become (บิคั๊ม)

became  (บิเค๊ม)

become

กลายเป็น

3

begin (บิกิ๊น)

began  (บิแก๊น)

begun (บิกั๊น)

เริ่มต้น

4

bet  เบ็ท

bet เบ็ท

bet

พนัน

5

bite ไบท

bit บิท

bitten (or bit) บิทเทิน

กัด

6

bleed บลีด

bled  เบล็ด

bled

เลือดออก

7

blow บโล

blew บลู

blown บโลน

พัด เป่า ตี

8

break เบรก

broke บโรค

broken บโรคเคิน

แตก

9

bring บริง

brought บรอท

brought

นำมา เอามา

10

build บิลด

built  บิลท

built

สร้าง

11

burst เบิสท

burst

burst

ระเบิด

12

buy บาย

bought บอท

bought

ซื้อ

13

catch แค็ทช

caught คอท

caught

จับ , ขึ้นรถ

14

choose ชูส

chose โชส

chosen โชเซิน

เลือก

15

come  คัม

came เคม

come

มา

16

cost  คอสท

cost

cost

มีราคา

17

cut

cut

cut

ตัด

18

dig  ดิก

dug ดัก

dug

ขุด

19

dive ไดฝ

dived (or doveโดฝ)

dived ไดฝด

ดำนํ้า

20

do ดู

did ดิด

done ดัน

ทำ

21

draw ดรอ

drew ดรู

drawn  ดรอน

ลาก วาด เขียน

22

drink  ดริงค

drank ดแรงค

drunk ดรังค

ดื่ม

23

drive ไดรฝ

drove ดโรฝ

driven ดริฝเฝิน

ขับ(รถ)

24

eat อีท

ate เอท

eaten อีทเทิน

กิน

25

fall ฟอล

fell เฟ็ล

fallen ฟอลเลิน

ตก หล่น

26

feel ฟีล

felt เฟ็ลท

felt

รู้สึก

27

fight ไฟท

fought ฟอท

fought

ต่อสู้

28

find ไฟนด

found  เฟานดึ

found

พบ

29

fly ฟลาย

flew ฟลู

flown ฟโลน

บิน

30

forbid ฟอบิด

forbade ฟอเบด

forbidden ฟอบิดเดิน

ห้าม

31

forget ฟอเก็ท

forgot ฟอก็อท

forgotten ฟอก็อทเทิน

ลืม

32

freeze ฟรีส

froze โฟรส

frozen โฟรสเซิน

แข็งตัว หนาว

33

get เก็ท

got ก็อท

got

เอา ได้รับ

34

give กิฝ

gave เกฝ

given กิฝเฝิน

ให้

35

go โก

went เว็นท

gone กอน

ไป

36

grind กรายด

ground  กราวด

ground

บด ลับ

37

grow กโร

grew กรู

grown กโรน

เติบโต, ปลูก

38

hang (pictures) แฮง

hung ฮัง

hung

แขวน ห้อย

39

hang (people) แฮง

hanged  แฮงด

hanged

แขวนคอ

40

have แฮฝ

had แฮด

had

มี

41

hear เฮีย

heard เฮิด

heard

ได้ยิน

42

hide ฮายด

hid ฮิท

hidden ฮิดเดิน

ซ่อน

43

hurt เฮิท

hurt

hurt

เจ็บ, ทำให้บาดเจ็บ

44

know โน

knew นู

known โนน

รู้

45

lay เล

laid เลด

laid

วาง ออกไข่

46

lead หลีด

led เหล็ด

led

นำ

47

learn เลิน

learnt เลินท

learnt

เรียนรู้

48

leave ลีฝ

left เล็ฟท

left

ละทิ้ง, จากไป

49

lend เล็นด

lent  เล็นท

lent

ให้ยืม

50

lie ลาย

lay เล

lain เลน

นอน

51

light ไลท

lit  ลิท

lit

จุดไฟ

52

lose ลูส

lost ลอสท

lost

แพ้ ทำหาย

53

make เมค

made เมด

made

ทำ

54

meet มีท

met เม็ท

met

พบ

55

mistake มิสเตค

mistook มิสตุค

mistaken มิสเตคเคิน

ทำผิด

56

pay เพ

paid  เพด

paid

จ่าย

57

put พุท

put

put

วาง

58

quit ควิท

quitted ควิทเท็ด (or quit)

quit ควิท

เลิก

59

read หรีด

read เหร็ด

read เหร็ด

อ่าน

60

ride ไรด

rode โรด

ridden ริดเดิน

ขี่

61

ring ริง

rang แรง

rung รัง

สั่น (กระดิ่ง)

62

rise ไรซ

rose โรส

risen ริสเซิน

ขึ้น ลุกขึ้น

63

run รัน

ran แรน

run

วิ่ง

64

say เซ

said เซด

said

พูด

65

see ซี

saw ซอ

seen ซีน

เห็น

66

seek ซีค

sought ซอท

sought

ค้นหา

67

sell เซ็ล

sold โซลดึ

sold

ขาย

68

set เซ็ท

set

set

จัด

69

shake เชค

shook  ชุค

shaken เช๊เคิน

เขย่า สั่น

70

shine ชายน

shone  โชน

shone

ส่องแสง

71

shrink ชริงค

shrank  ชแรงค

shrunk ชรังค

หดลง สั้นลง

72

sing ซิง

sang แซง

sung ซัง

ร้องเพลง

73

sink ซิงค

sank แซงค

sunk ซังค

จม ถอยลง

74

sit ซิท

sat แซ็ท

sat

นั่ง

75

slide สไลด

slid สลิด

slid

สื่นไถล, เลื่อนไป

76

sleep สลีพ

slept  สเล็พท

slept

นอนหลับ

77

speak สปีค

spoke สโปค

spoken สโปเคิน

พูด

78

spin สปิน

spun สปัน

spun

ม้วน กรอ ปั่นฝ้าย

79

split สปลิท

split

split

แตก, แยก

80

spring สปริง

sprang สแปรง

sprung สปรัง

โดดอย่างเร็ว, เด้ง

81

sting สติง

stung  สตัง

stung

ต่อย, แทง

82

stink สติงค

stank สแตงค

stunk สตังค

ส่งกลิ่นเหม็น

83

strike สไตรค

struck สตรัค

struck

ตี, ต่อย? กระทบ

84

string สตริง

strung สตรัง

strung

ผูกเชือก ขึงสาย

85

swear สแว

swore สวอ

sworn สวอน

สาบาน ปฏิญาณ

86

swell สเว็ล

swelled สเว็ลดึ

swollen สวอลเลิน

โตขึ้น หนาขึ้น

87

swim สวิม

swam สแวม

swum สวัม

ว่ายนํ้า

88

swing สวิง

swung สวัง

swung

แกว่ง, เหวี่ยง

89

take เทค

took ทุค

taken เทคเคิน

เอา พาไป

90

teach ทีช

taught ทอท

taught

สอน

91

tear แท

tore ทอ

torn ทอน

ฉีก ขาด

92

tell เท็ล

told โทลดึ

told

บอก

93

think ธิง

thought  ธอท

thought

คิด

94

throw ธโร

threw ธรู

thrown ธโรน

เหวี่ยง ขว้าง

95

wake เวค

woke โวค

waken เวคเคิน

ตื่น, ปลุก

96

wear แว

wore วอ

worn วอน

สวม, ใส่

97

weave วีฝ

wove โวฝ

woven โวฝเฝิน

ทอผ้า, สาน

98

weep วีพ

wept เว็พทึ

wept

ร้องไห้

99

win วิน

won ว็อน

won

ชนะ

100

write ไรท

wrote โรท

written ริทเทิน

เขียน

 

ตารางกริยา 3 ช่อง แบบปกติ

กริยาแบบปกติ หมายถึง คำกริยาที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างแต่อย่างใด คงสภาพไว้เหมือนเดิมทุกประการ เพียงแค่เติม ed ต่อท้ายคำแค่นั้นเอง

REGULAR VERB กริยาปกติ

No

ช่อง 1

ช่อง 2

ช่อง 3

แปล

1

answer อ๊านเซอะ

answered อ๊านเซิด

answered

ตอบ (คำถาม) รับ (โทรศัพท์)

2

arrive อะไรฝ

arrivedอะไรฝดึ

arrived

มาถึง ไปถึง

3

attend อะเท็นด

attended อะเท็นเด็ด

attended

(เข้าร่วม) ประชุม

4

beg เบก

begged เบกดึ

begged

ขอ

5

call  คอล

called คอลดึ

called

เรียก โทรหา

6

change เชนจึ

changed เชนจดึ

changed

เปลี่ยน

7

clean คลีน

cleaned คลีนดึ

cleaned

 ทำความสะอาด

8

cook คุค

cooked คุคทึ

cooked

ทำอาหาร

9

cry คราย

cried ครายดึ

cried

ร้องไห้

10

dance แดนซ

danced แดนซทึ

danced

เต้นรำ

11

die ดาย

died ดายดึ

died

ตาย

12

end เอนด

ended เอนดิด

ended

จบ

13

enjoy อินจ๊อย

enjoyed อินจ๊อนดึ

enjoyed

สนุก, ชอบ

14

fix ฟิกซ

fixed ฟิกซทึ

fixed

ซ่อม

15

hate เฮท

hated เฮททิด

hated

เกลียด

16

help เฮ็ลพ

helped เฮ็ลพทึ

helped

ช่วย

17

kiss คิส

kissed คิสทึ

kissed

จูบ

18

lift ลิฟท

lifted ลิฟเท็ด

lifted

ยก

19

like ไลค

liked ไลคทึ

liked

ชอบ

20

listen ลิซเซิน

listened ลิซเซินดึ

listened

ฟัง

21

live ลิฝ

lived ลิฝดึ

lived

อาศัยอยู่

22

look ลุค

looked ลุคทึ

looked

มอง

23

love เลิฝ

loved  เลิฝดึ

loved

รัก

24

move มูฝ

moved มูฝดึ

moved

ย้าย  ขยับ

25

need นีด

needed นีดเด็ด

needed

ต้องการ

26

paint เพ๊นท

painted เพ๊นทิด

painted

วาดภาพ  ระบายสี

27

plan แพลน

planned แพลนดึ

planned

วางแผน

28

play เพล

played พเลด

played

เล่น

29

rain เรน

rained เรนดึ

raind

ฝนตก

30

return ริเทิน

returned ริเทินดึ

returned

กลับคืน

31

serve เสิฝ

served เสิฝดึ

served

เสิร์ฟ

32

shop ช็อพ

shopped ช็อพทึ

shopped

จ่ายตลาด

33

smoke สโมค

smoked สโมคทึ

smoked

สูบบุหรี่

34

sneeze สนีส

sneezed สนีสดึ

sneezed

จาม

35

snow สโน

snowed สโนด

snowed

หิมะตก

36

stay สเต

stayed สเตด

stayed

พักอาศัย

37

stop สต็อพ

stopped สต็อพทึ

stopped

หยุด

38

study สตัดดิ

studied สตัดดิด

studied

เรียน

39

talk ทอค

talked ทอคทึ

talked

สนทนา

40

travel แทรเวิล

traveled แทรเวิลดึ

traveled

ท่องเที่ยว

41

try ทราย

tried ทรายดึ

tried

ลอง, พยายาม

42

visit วิสิท

visited วิสิทเท็ด

visited

เยี่ยม  เที่ยว

43

wait เวท

waited เวททิด

waited

รอ

44

walk วอค

walked วอคทึ

walked

เดิน

45

want ว็อนท

wanted ว็อนทิด

wanted

ต้องการ

46

wash วอช

washed วอชทึ

washed

ล้าง

47

watch ว็อทช

watched ว็อทชทึ

watched

ดู

48

work เวิค

worked เวิคทึ

worked

ทำงาน

 ความรู้เพิ่มเติม TENSE


  1. Tense คืออะไร
  2. Tense  หรือที่ในภาษาไทยเรียกว่า กาลเวลา ซึ่งมันก็คือการผันกริยาในรูปแบบต่างๆ เพื่อที่จะบอกว่า ประโยคนั้นกำลังพูดถึง อดีต,ปัจจุบัน หรือว่า อนาคต นั่นเอง


Tense มีอะไรบ้าง
Tense ในภาษาอังกฤษนั้น ถูกแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลาได้แก่ 
Past (อดีต), Present(ปัจจุบัน) และ Future(อนาคต) ซึ่งทั้ง 3 ช่วงเวลาที่กล่าวมานี้ ในแต่ละช่วงเวลานั้นยังถูกแบ่งออกตามลักษณะของเหตุการณ์ได้อีก ช่วงเวลาละ 4 แบบ ได้แก่
1.       Simple : เรียบง่าย
2.       Continuous : ต่อเนื่อง (กำลังทำ)
3.       Perfect : สมบูรณ์
4.       Perfect continuous : สมบูรณ์และต่อเนื่อง
เพราะฉะนั้นเมื่อนับทั้งหมดรวมกัน จะได้ tense ทั้งหมด 12 tense ด้วยกันนั่นเองค่ะ

SIMPLE TENSES

Past Simple Tense

โครงสร้าง: S. + V.2
ใช้ใน: เหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วในอดีตและจบไปแล้ว
ดูตรงไหน: ดูตัวบอกเวลาที่เป็นในอดีต (yesterday, last _) และกริยา
ตัวอย่างประโยค:
I ate pizza yesterday. — ฉันทานพิซซ่าเมื่อวานนี้
I was in Canada in 2015.-ฉันอยู่ที่แคนาดาในปี 2015

Present Simple Tense
โครงสร้าง: S. + V.1 (s/es)
ใช้ใน: เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ, สิ่งที่เป็นความจริง, เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ที่กำหนดไว้แล้ว
ดูตรงไหน: ดูกริยาเป็นหลัก และดูคำบอกเวลา/ความถี่ ตัวนี้จะเจอบ่อยในชีวิตประจำวัน
ตัวอย่างประโยค:
I eat pizza regularly. - ฉันทานพิซซ่าเป็นประจำ
Bangkok is in Thailand. - กรุงเทพฯ อยู่ในประเทศไทย
Math class begins today at 9 AM. — คาบเรียนวิชาคณิตเริ่มวันนี้ในเวลา 9 โมงเช้า
I live in Chiang Mai.-(ฉันอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่)
The earth circles the sun.-โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์
Emma goes to work by BTS.-เอ็มม่าไปทำงานโดย BTS
She likes spicy food.-เธอชอบอาหารรสจัด
The library closes at 8 PM.-ห้องสมุดปิดตอน2ทุ่ม

Future Simple Tense

โครงสร้าง: S. + will + V.1
ใช้ใน: เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ระบุเวลา หรือเป็นการคาดเดาจากความรู้สึก
ดูตรงไหน: ดู will / going to และดูคำบอกเวลาในอนาคต
ตัวอย่างประโยค:
I will eat pizza tomorrow. — ฉันจะทานพิซซ่าในวันพรุ่งนี้
I will pass the exam.-ฉันต้องสอบผ่าน
I will go home before it rains.-ฉันจะกลับบ้านก่อนที่ฝนจะตก


CONTINUOUS TENSES

Past Continuous Tense

โครงสร้าง: S. + was/were + V.ing
ใช้ใน: เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและถูกแทรกโดยอีกเหตุการณ์หนึ่ง
ดูตรงไหน: ดู was/were และ V.ing เป็นหลัก และดูประโยคที่บอกเวลาว่ามันเกิดในอดีต
ตัวอย่างประโยค:
I was eating pizza when you arrived.— ฉันกำลังทานพิซซ่าในขณะที่คุณมา
We were playing football yesterday at 10 AM.-พวกเรากำลังเล่นฟุตบอลเมื่อวานตอน 10 โมงเช้า

Present Continuous Tense

โครงสร้าง: S. + is/am/are + V.ing
ใช้ใน: เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ในขณะที่กำลังพูดอยู่
ดูตรงไหน: ดูความหมายของตัวบอกเวลา และดู V.ing
ตัวอย่างประโยค:
I am eating pizza right now.— ฉันกำลังทานพิซซ่าในตอนนี้
I am studying Chinese.-ฉันกำลังเรียนภาษาจีน
I am flying to Canada.-ฉันกำลังจะไปแคนาดา

Future Continuous Tense

โครงสร้าง: S. + will + be + V.ing
ใช้ใน: เหตุการณ์ในอนาคตที่จะเกิดขึ้นในเวลาที่ระบุไว้, เหตุการณ์ในอนาคตที่ถูกแทรกโดยอีกเหตุการณ์หนึ่ง
ดูตรงไหน: ดูตัวบอกเวลาที่เป็นอนาคต และดูโครงสร้างของประโยค
ตัวอย่างประโยค:
I will be eating pizza at 8 PM.— ฉันจะกำลังทานพิซซ่าตอน 2 ทุ่ม
I will be watching T.V. when you arrive. — ฉันจะดูทีวีอยู่ตอนที่คุณมา

PERFECT TENSES

Past Perfect Tense

โครงสร้าง: S. + had + V.3
ใช้ใน: เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่จบไปแล้ว ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ที่สอง
ดูตรงไหน: ดูโครงสร้างของประโยค แล้วเอามาลองแปลเป็นภาษาไทยดู
ตัวอย่างประโยค:
I had already eaten pizza when you arrived. — ฉันทานพิซซ่าหมดไปแล้วตอนคุณมา
I had never been to London before last January. — ฉันไม่เคยไปลอนดอนเลยก่อนเดือนมกราคมที่ผ่านมา                                                            I had worked for 8 hours before Emma arrived.-ฉันทำงานเป็นเวลา 8 ชั่วโมงก่อนที่เอ็มม่าจะมา

Present Perfect tense

โครงสร้าง: S. + has/have + V.3
ใช้ใน: เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่ไม่เจาะจงเวลา ที่เกิดขึ้นก่อนปัจจุบัน, การเล่าประสบการณ์, ความสำเร็จ, เหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่คาดไว้ว่าจะเกิดขึ้น
ดูตรงไหน: จะไม่มีคำบอกเวลาอย่างเจาะจงเด็ดขาด และดูโครงสร้างประกอบ
ตัวอย่างประโยค:
I have already eaten pizza. — ฉันทานพิซซ่าหมดไปแล้ว
I have been to London. — ฉันเคยไปลอนดอน
He has learned how to drive. — เข้าเรียนรู้วิธีการขับรถ
He has not arrived yet. — เขายังมาไม่ถึง
I have met him before.-ฉันเคยเจอเขามาก่อน
I have been to Canada.-ฉันเคยไปแคนาดา
I have washed the car.-ฉันล้างรถเสร็จแล้ว

Future Perfect Tense

โครงสร้าง: S. + will + have + V.3
ใช้ใน: เหตุการณ์ในอนาคตที่จะเกิดขึ้นก่อนอีกเหตุการณ์หนึ่ง โดยเหตุการณ์แรกต้องเสร็จก่อนเหตุการณ์สอง, เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่และจะเสร็จในอนาคตก่อนเหตุการณ์ที่สองจะเกิด
ดูตรงไหน: จะไม่มีคำบอกเวลาอย่างเจาะจงเด็ดขาด และดูโครงสร้างประกอบ
ตัวอย่างประโยค:
I will have already eaten pizza by the time you arrive. — ฉันจะทานพิซซ่าหมดตอนเวลาที่คุณมา
They will have finished the work by next week.-พวกเขาจะเสร็จสิ้นการทำงานภายในสัปดาห์หน้า
หรือจะแทน will ด้วย is/am/are + going to ก็ได้ มีความหมายเหมือนกัน
I am going to have been here for 3 days by the time he come back. — ฉันจะอยู่ที่นี้เป็นเวลา 3 วันในตอนที่คุณกลับมา

PERFECT CONTINUOUS TENSES

Past Perfect Continuous Tense

โครงสร้าง: S. + had been + V.ing
ใช้ใน: เหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นเป็นช่วงเวลาหนึ่งก่อนจะเกิดอีกเหตุการณ์หนึ่ง, สาเหตุของเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในอดีต
ดูตรงไหน: ดูตัวบอกช่วงเวลา (for _, since ____) หรือ ดูคำที่บ่งบอกสาเหตุ (เช่น because), ดูโครงสร้าง
ตัวอย่างประโยค:
I had been eating pizza for 2 hours when you arrived. — ฉันทานพิซซ่ามา 2 ชั่วโมงตอนที่คุณมาHe failed the test because he had not been paying attention in class. — เขาเคยสอบตกเพราะเขาไม่ตั้งใจเรียนในคาบเรียน

Present Perfect Continuous Tense

โครงสร้าง: S. + has/have + been + V.ing
ใช้ใน: เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และตอนนี้อาจจะเสร็จหรือยังไม่เสร็จก็ได้
ดูตรงไหน: ดูตัวบอกช่วงเวลา (for _, since ____) และดูโครงสร้าง
ตัวอย่างประโยค:
I have been eating pizza for 2 hours. — ฉันทานพิซซ่ามา 2 ชั่วโมงแล้ว
She has been sleeping for 4 hours.-เธอนอนหลับมา4 ชั่วโมงแล้ว
It has been raining for 3 hours.-ฝนตกมา 3 ชั่วโมงแล้ว

Future Perfect Continuous Tense

โครงสร้าง: S. + will have been + V.ing
ใช้ใน: เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนอีกเหตุการณ์หนึ่งที่จะเกิดในอนาคต และเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่สอง เหตุการณ์ที่หนึ่งอาจจบหรือยังไม่จบก็ได้
ดูตรงไหน: ดูตัวบอกช่วงเวลา (for _, since ____) และดูโครงสร้าง, สังเกตุคำบอกช่วงเวลาที่บ่งบอกถึงอนาคต
ตัวอย่างประโยค:


I will have been eating pizza for 2 hours when you arrive. — ฉันทานพิซซ่าเป็นเวลา 2 ชั่วโมงตอนคุณมาถึง                                                                     He will have been living here for three years next month.-เขาอาศัยอยู่ที่นี่มาจะครบ 3 ปีแล้วในเดือนหน้า




ใบความรู้
 เรื่อง    จุด เส้น สี แสง เงา รูปร่าง และรูปทรง
จุด                       ………………………………………
คือ องค์ประกอบที่เล็กที่สุด จุดเป็นสิ่งที่บอกตำแหน่งและทิศทางได้การนำจุดมาเรียงต่อกันให้เป็นเส้น
การรวมกันของจุดจะเกิดน้ำหนักที่ให้ปริมาตรแก่รูปทรง เป็นต้น
เส้น
หมายถึง จุดหลายๆจุดที่เรียงชิดติดกันเป็นแนวยาวหรือการลากเส้นจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง ในทิศทางที่แตกต่างกัน จะเป็นทิศมุม 45 องศา 90 องศา 180 องศาหรือมุมใดๆ
การสลับทิศทางของเส้นที่ลากทำให้เกิดเป็นลักษณะต่างๆในทางศิลปะเส้นมีหลายชนิดด้วยกันโดยจำแนกออกได้เป็น
2 ลักษณะใหญ่ๆ คือลักษณะ เช่น ตั้ง นอน เฉียง โค้ง เส้นหยัก เส้นซิกแซก
ความรู้สึกที่มีต่อเส้น
เส้นเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญในการสร้างสรรค์เส้นสามารถแสดงให้เกิดความหมายของภาพและให้ความรู้สึกได้ตามลักษณะของเส้น เส้นที่เป็นพื้นฐาน ได้แก่  เส้นตรงและเส้นโค้ง
จากเส้นตรงและเส้นโค้งสามารถนำมาสร้างให้เกิดเป็น เส้นใหม่ที่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปได้ดังนี้
เส้นตรงแนวตั้ง  ให้ความรู้สึกแข็งแรง  สูงเด่น  สง่างาม  น่าเกรงขาม

 เส้นตรงแนวนอน  ให้ความรู้สึกสงบราบเรียบ  กว้างขวาง  การพักผ่อน  หยุดนิ่ง

 เส้นตรงแนวฉียง  ให้ความรู้สึกไม่ปลอดภัย  การล้ม  ไม่หยุดนิ่ง

 เส้นตัดกัน   ให้ความรู้สึกประสานกัน  แข็งแรง
 เส้นโค้ง  ให้ความรู้สึกอ่อนโยนนุ่มนวล
 เส้นคลื่น  ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวไหลเลื่อน  ร่าเริง  ต่อเนื่อง
 เส้นประ  ให้ความรู้สึกขาดหาย  ลึกลับ  ไม่สมบรูณ์  แสดงส่วนที่มองไม่เห็น
 เส้นขด  ให้ความรู้สึกหมุนเวียนมึนงง
 เส้นหยัก   ให้ความรู้สึกขัดแย้ง  น่ากลัว  ตื่นเต้น  แปลกตา
 นักออกแบบนำเอาความรู้สึกที่มีต่อเส้นที่แตกต่างกันมาใช้ในงานศิลปประยุกต์  โดยใช้เส้นมาเปลี่ยนรูปร่างของตัวอักษร  เพื่อให้เกิดความรู้สึกเคลื่อนไหวและทำให้สื่อความหมายได้ดียิ่งขึ้น
สี   หมายถึง แสงที่มากระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าตาเรา ทำให้เห็นเป็นสีต่างๆ
ทฤษฎีสี หมายถึง หลักวิชาเกี่ยวกับสีที่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตาเรารับรู้สีได้เพราะเมื่อสามร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ไอแซก นิวตัน ได้ค้นพบว่าแสงสีขาวจากดวงอาทิตย์เมื่อหักเหผ่านแท่งแก้วสามเหลี่ยม (prism)แสงสีขาวจะกระจายออกเป็นสีรุ้ง เรียกว่าสเปคตรัม มี 7 สี ได้แก่ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง ส้ม แดง  และได้มีกำหนดให้เป็นทฤษฎีสีของแสงขึ้น ความจริงสีรุ้งเป็นปรากฏการณ์ ตาม ธรรมชาติ ซึ่งเกิดขึ้นและพบเห็นกันบ่อยๆ อยู่แล้ว โดยเกิดจากการหักเห ของ แสงอาทิตย์หรือแสงสว่าง เมื่อผ่านละอองน้ำในอากาศ ซึ่งลักษณะกระทบต่อสายตาให้เห็นเป็นสี มีผลถึงจิตวิทยาคือมีอำนาจให้เกิดความเข้มของแสง ที่อารมณ์ และความรู้สึกได้ การที่ได้เห็นสีจากสายตา สายตาจะส่งความรู้สึกไปยังสมองทำให้เกิดความรู้สึกต่างๆ ตามอิทธิพลของสี เช่น สดชื่น เร่าร้อน เยือกเย็น หรือตื่นเต้น มนุษย์เราเกี่ยวข้องกับสีต่างๆ อยู่ตลอดเวลาเพราะทุกสิ่ง ที่อยู่รอบตัวนั้น ล้วนแต่มีสีสันแตกต่างกันมากมาย
แม่สี   นักวิชาการสาขาต่างๆ ได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องสี จนเกิดเป็นทฤษฎีสี ตามหลักการของนักวิชาการสาขานั้นๆ ดังนี้
แม่สีของนักฟิสิกส์ (แม่สีของแสง) (spectrum primaries)
คือสีที่เกิดจากการผสมกันของคลื่นแสง มีแม่สี 3 สี คือ
แม่สีของนักเคมี (pigmentary primaries)
คือสีที่ใช้ในวงการอุตสาหกรรมและวงการศิลปะ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สีวัตถุธาตุ ที่เรากำลังศึกษาอยู่ในขณะนี้ โดยใช้ในการเขียนภาพเกี่ยวกับพาณิชยศิลป์ ภาพโฆษณา ภาพประกอบเรื่อง ซึ่งในหลักการเดียวกันทั้งสิ้น   ประกอบด้วย
 สีขั้นที่ 1 (Primary Color) คือ สีพื้นฐาน มีแม่สี 3 สี ได้แก่
1.       สีเหลือง (Yellow)
2.       สีแดง (Red)
3.       สีน้ำเงิน (Blue) 
สีขั้นที่ 2 (Secondary color)
 คือ สีที่เกิดจากสีขั้นที่ 1 หรือแม่สีผสมกันในอัตราส่วนที่เท่ากัน จะทำให้เกิดสีใหม่ 3 สี ได้แก่
1.       สีส้ม (Orange)    เกิดจาก สีแดง (Red)  ผสมกับสีเหลือง (Yellow)
2.       สีม่วง (Violet)     เกิดจาก สีแดง (Red)  ผสมกับสีน้ำเงิน (Blue)
3.       สีเขียว (Green)   เกิดจาก สีเหลือง (Yellow) ผสมกับสีน้ำเงิน (Blue)
 สีขั้นที่ 3 (Intermediate Color)
คือสีที่เกิดจากการผสมกันระหว่างสีของแม่สีกับสีขั้นที่ 2 จะเกิดสีขึ้นอีก 6 สี ได้แก่
1.       สีน้ำเงินม่วง ( Violet-blue)        เกิดจาก สีน้ำเงิน (Blue) ผสมสีม่วง (Violet)
2.       สีเขียวน้ำเงิน ( Blue-green)      เกิดจาก สีน้ำเงิน (Blue) ผสมสีเขียว (Green) 
3.       สีเหลืองเขียว ( Green-yellow)  เกิดจาก สีเหลือง(Yellow) ผสมกับสีเขียว (Green) 
4.       สีส้มเหลือง ( Yellow-orange)   เกิดจาก สีเหลือง (Yellow) ผสมกับสีส้ม (Orange)
5.       สีแดงส้ม ( Orange-red)          เกิดจาก สีแดง (Red) ผสมกับสีส้ม (Orange)
6.       สีม่วงแดง ( Red-violet)           เกิดจาก สีแดง (Red) ผสมกับสีม่วง (Violet)
เราสามารถผสมสีเกิดขึ้นใหม่ได้อีกมากมายหลายร้อยสีด้วยวิธีการเดียวกันนี้ ตามคุณลักษณะของสีที่จะกล่าวต่อไป
 จะเห็นได้ว่าทฤษฎีสีดังกล่าวมีผลให้เราสามารถนำมาใช้เป็นหลักในการเลือกสรรสีสำหรับงานสร้างสรรค์ของเราได้ซึ่งงานออกแบบมิได้ถูกจำกัดด้วยกรอบความคิดของทฤษฎีตามหลักวิชาการเท่านั้น แต่เราสามารถ คิดออกนอกกรอบแห่งทฤษฎีนั้นๆ ได้ เท่าที่มันสมองของเราจะเค้นความคิดสร้างสรรค์ออกมาได้
คุณลักษณะของสีมี 3 ประการ คือ
1. สีแท้ หรือความเป็นสี (Hue ) หมายถึง สีที่อยู่ในวงจรสีธรรมชาติ ทั้ง 12 สี (ดูภาพสี 12 สีในวงจรสี ด้านซ้ายมือประกอบ) สี ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้แบ่งเป็น 2 วรรณะ โดยแบ่งวงจรสีออกเป็น 2 ส่วน จากสีเหลืองวนไปถึงสีม่วง คือ
1.    สีร้อน (Warm Color) ให้ความรู้สึกรุนแรง ร้อน ตื่นเต้น ประกอบด้วย สีเหลือง สีเหลืองส้ม สีส้ม สีแดงส้ม สีแดง สีม่วงแดง สีม่วง
2.    สีเย็น (Cool Color) ให้ความรู้สึกเย็น สงบ สบายตาประกอบด้วย สีเหลือง สีเขียวเหลือง สีเขียว สีน้ำเงินเขียว สีน้ำเงิน สีม่วงน้ำเงิน สีม่วง  เราจะเห็นว่า สีเหลือง และสีม่วง เป็นสีที่อยู่ได้ทั้ง 2 วรรณะ คือเป็นสีกลาง เป็นได้ทั้งสีร้อน และสีเย็น
2. ความจัดของสี (Intensity) หมายถึง ความสด หรือความบริสุทธิ์ของสีใดสีหนึ่ง สีที่ถูกผสมด้วย สีดำจนหม่นลง ความจัด หรือความบริสุทธิ์จะลดลง ความจัดของสีจะเรียงลำดับจากจัดที่สุด ไปจน หม่นที่สุด ได้หลายลำดับ ด้วยการค่อยๆ เพิ่มปริมาณของสีดำที่ผสมเข้าไปทีละน้อยจนถึงลำดับที่ความจัดของสีมีน้อยที่สุด คือเกือบเป็นสีดำ
3. น้ำหนักของสี (Values) หมายถึง สีที่สดใส (Brightness) สีกลาง (Grayness) สีทึบ(Darkness) ของสีแต่ละสี สีทุกสีจะมีน้ำหนักในตัวเอง ถ้าเราผสมสีขาวเข้าไปในสีใดสีหนึ่ง สีนั้นจะสว่างขึ้น หรือมีน้ำหนักอ่อนลงถ้าเพิ่มสีขาวเข้าไปทีละน้อยๆ ตามลำดับ เราจะได้น้ำหนักของสีที่เรียงลำดับจากแก่สุด ไปจนถึงอ่อนสุดน้ำหนักอ่อนแก่ของสีก็ได้ เกิดจากการผสมด้วยสีขาว เทา และ ดำ น้ำหนักของสีจะลดลงด้วยการใช้สีขาวผสม (tint) ซึ่งจะทำให้ เกิดความรู้สึกนุ่มนวล อ่อนหวาน สบายตา น้ำหนักของสีจะเพิ่มขึ้นปานกลางด้วยการใช้สีเทาผสม (tone) ซึ่งจะทำให้ความเข้มของสีลดลงเกิดความรู้สึก ที่สงบ ราบเรียบ และน้ำหนักของสีจะเพิ่มขึ้นมากขึ้นด้วยการใช้สีดำผสม (shade) ซึ่งจะทำให้ความเข้มของสีลดความสดใสลง เกิดความรู้สึกขรึม ลึกลับ น้ำหนักของสียังหมายถึงการเรียงลำดับน้ำหนักของสีแท้ด้วยกันเอง โดยเปรียบเทียบ น้ำหนักอ่อนแก่กับสีขาว ดำ  เราสามารถเปรียบเทียบระหว่างภาพสีกับภาพขาวดำได้อย่างชัดเจนเมื่อนำภาพสีที่เราเห็นว่ามีสีแดงอยู่หลายค่าทั้งอ่อน กลาง แก่ ไปถ่ายเอกสารขาว-ดำ เมื่อนำมาดูจะพบว่า สีแดงจะมีน้ำหนักอ่อน แก่ตั้งแต่ขาว เทา ดำ นั่นเป็นเพราะว่าสีแดงมีน้ำหนักของสีแตกต่างกันนั่นเอง
สีต่างๆ ที่เราสัมผัสด้วยสายตา จะทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นภายในต่อเรา ทันทีที่เรามองเห็นสี ไม่ว่าจะเป็น การแต่งกาย บ้านที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ต่างๆ แล้วเราจะ ทำอย่างไร จึงจะใช้สีได้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับหลักจิตวิทยา เราจะต้องเข้าใจว่าสีใดให้ความรู้สึก ต่อมนุษย์อย่างไร ซึ่งความรู้สึกเกี่ยวกับสี สามารถจำแนกออกได้ดังนี้
สีแดง ให้ความรู้สึกร้อน รุนแรง กระตุ้น ท้าทาย เคลื่อนไหว ตื่นเต้น เร้าใจ มีพลัง ความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ความรัก ความสำคัญ อันตรายสีแดงชาด จะทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์
สีส้ม ให้ความรู้สึก ร้อน ความอบอุ่น ความสดใส มีชีวิตชีวา วัยรุ่น ความคึกคะนอง การปลดปล่อย ความเปรี้ยว การระวังสีเหลือง ให้ความรู้สึก แจ่มใส ความร่าเริง ความเบิกบานสดชื่น ชีวิตใหม่ ความสด ใหม่ ความสุกสว่าง การแผ่กระจายอำนาจบารมีสีเขียว ให้ความรู้สึกงอกงาม สดชื่น สงบ เงียบ ร่มรื่น ร่มเย็น การพักผ่อน การผ่อนคลายธรรมชาติ ความปลอดภัย ปกติ ความสุข ความสุขุม เยือกเย็น
สีเขียวแก่ จะทำให้เกิดความรู้สึกเศร้าใจความแก่ชรา สีน้ำเงิน ให้ความรู้สึกสงบ สุขุม สุภาพ หนักแน่น เคร่งขรึม เอาการเอางาน ละเอียด รอบคอบ สง่างาม มีศักดิ์ศรี สูงศักดิ์ เป็นระเบียบถ่อมตน
สีฟ้า ให้ความรู้สึก ปลอดโปร่งโล่ง กว้าง เบา โปร่งใส สะอาด ปลอดภัย ความสว่าง ลมหายใจ ความเป็นอิสรเสรีภาพ การช่วยเหลือ แบ่งปัน
สีคราม จะทำให้เกิดความรู้สึกสงบ
สีม่วง ให้ความรู้สึก มีเสน่ห์ น่าติดตาม เร้นลับ ซ่อนเร้น มีอำนาจ มีพลังแฝงอยู่ ความรัก ความเศร้า ความผิดหวัง ความสงบ ความสูงศักดิ์
สีน้ำตาล ให้ความรู้สึกเก่า หนัก สงบเงียบ
สีขาว ให้ความรู้สึกบริสุทธิ์ สะอาด ใหม่ สดใส
สีดำ ให้ความรู้สึกหนัก หดหู่ เศร้าใจ ทึบตัน
สีชมพู ให้ความรู้สึก อบอุ่น อ่อนโยน นุ่มนวล อ่อนหวาน ความรัก เอาใจใส่ วัยรุ่น หนุ่มสาว ความน่ารักความสดใส
สีไพล จะทำให้เกิดความรู้สึกกระชุ่มกระชวย ความเป็นหนุ่มสาว
สีเทา ให้ความรู้สึก เศร้า อาลัย ท้อแท้ ความลึกลับ ความหดหู่ ความชรา ความสงบ ความเงียบ สุภาพ สุขุม ถ่อมตน
สีทอง ให้ความรู้สึก ความหรูหรา โอ่อ่า มีราคา สูงค่า สิ่งสำคัญ ความเจริญรุ่งเรือง ความสุข ความมั่งคั่ง ความร่ำรวย การแผ่กระจาย
จากความรู้สึกดังกล่าว เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ในทุกเรื่อง และเมื่อต้องการสร้างผลงาน ที่เกี่ยวกับการใช้สี เพื่อที่จะได้ผลงานที่ตรงตามความต้องการในการสื่อความหมาย และจะช่วยลดปัญหาในการ ตัดสินใจที่จะเลือกใช้สีต่างๆได้ เช่น
1. ใช้ในการแสดงเวลาของบรรยากาศในภาพเขียน เพราะสีบรรยากาศในภาพเขียนนั้นๆ จะแสดงให้รู้ว่า เป็นภาพตอนเช้า ตอนกลางวัน หรือตอนบ่าย เป็นต้น
2. ในด้านการค้า คือ ทำให้สินค้าสวยงาม น่าซื้อหา นอกจากนี้ยังใช้กับงานโฆษณา เช่น โปสเตอร์ต่างๆ ช่วยให้จำหน่ายสินค้าได้มากขึ้น
3. ในด้านประสิทธิภาพของการทำงาน เช่น โรงงานอุตสาหกรรม ถ้าทาสีสถานที่ทำงานให้ถูกหลักจิตวิทยาจะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้น่าทำงานคนงานจะทำงานมากขึ้น มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น
4. ในด้านการตกแต่ง สีของห้อง และสีของเฟอร์นิเจอร์ ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความสว่างของห้อง รวมทั้งความสุขในการใช้ห้อง ถ้าเป็นโรงเรียนเด็กจะเรียนได้ผลดีขึ้น ถ้าเป็นโรงพยาบาลคนไข้จะหายเร็วขึ้น   สร้างสรรค์งานออกแบบจะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้สีโดยตรง มัณฑนากรจะคิดค้นสีขึ้นมาเพื่อใช้ในงานตกแต่ง คนออกแบบฉากเวทีการแสดงจะคิดค้นสีเกี่ยวกับแสง จิตรกรก็จะคิดค้นสีขึ้นมาระบายให้เหมาะสมกับ ความคิด และจินตนาการของตน แล้วตัวเราจะคิดค้นสีขึ้นมาเพื่อความงาม ความสุข สำหรับเรามิได้หรือ สีที่ใช้สำหรับการออกแบบนั้น ถ้าเราจะใช้ให้เกิดความสวยงามตรงตามความต้องการของเรา มีหลักในการใช้กว้างๆ อยู่ 2 ประการ คือ การใช้สีกลมกลืนกัน และ การใช้สีตัดกัน
1.  การใช้สีกลมกลืนกัน
การใช้สีให้กลมกลืนกัน เป็นการใช้สีหรือน้ำหนักของสีให้ใกล้เคียงกัน หรือคล้ายคลึงกัน เช่น การใช้สีแบบเอกรงค์ เป็นการใช้สีสีเดียวที่มีน้ำหนักอ่อนแก่หลายลำดับ   การใช้สีข้างเคียง เป็นการใช้สีที่เคียงกัน 2 – 3 สี ในวงสี เช่น สีแดง สีส้มแดง และสีม่วงแดง การใช้สีใกล้เคียง เป็นการใช้สีที่อยู่เรียงกันในวงสีไม่เกิน 5 สี ตลอดจนการใช้สีวรรณะร้อนและวรรณะเย็น (warm tone colors and cool tone colors) ดังได้กล่าวมาแล้ว
2. การใช้สีตัดกัน สีตัดกันคือสีที่อยู่ตรงข้ามกันในวงจรสี (ดูภาพวงจรสี ด้านซ้ายมือประกอบ) การใช้สีให้ตัดกันมีความจำเป็นมาก ในงานออกแบบ เพราะช่วยให้เกิดความน่าสนใจ ในทันทีที่พบเห็น สีตัดกันอย่างแท้จริงมี อยู่ด้วยกัน 6 คู่สี คือ
1.       สีเหลือง ตรงข้ามกับ สีม่วง
2.       สีส้ม ตรงข้ามกับ สีน้ำเงิน
3.       สีแดง ตรงข้ามกับ สีเขียว
4.       สีเหลืองส้ม ตรงขามกับ สีม่วงน้ำเงิน
5.       สีส้มแดง ตรงข้ามกับ น้ำเงินเขียว
6.       สีม่วงแดง ตรงข้ามกับ สีเหลืองเขียว
การใช้สีตัดกัน ควรคำนึงถึงความเป็นเอกภาพด้วย วิธีการใช้มีหลายวิธี เช่น ใช้สีให้มีปริมาณต่างกัน เช่น ใช้สีแดง 20 % สีเขียว 80% หรือ ใช้เนื้อสีผสมในกันและกัน หรือใช้สีหนึ่งสีใดผสมกับสีคู่ที่ตัดกัน ด้วยปริมาณเล็กน้อย รวมทั้งการเอาสีที่ตัดกันมาทำให้เป็นลวดลายเล็กๆ สลับกัน ในผลงานชิ้นหนึ่ง อาจจะใช้สีให้กลมกลืนกันหรือตัดกันเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออาจจะใช้พร้อมกันทั้ง 2 อย่าง ทั้งนี้แล้วแต่ความต้องการ และความคิดสร้างสรรค์ของเรา ไม่มีหลักการ หรือรูปแบบที่ตายตัว
ในงานออกแบบ หรือการจัดภาพ หากเรารู้จักใช้สีให้มีสภาพโดยรวมเป็นวรรณะร้อน หรือวรรณะเย็น เราจะ สามารถควบคุม และสร้างสรรค์ภาพให้เกิดความประสานกลมกลืน งดงามได้ง่ายขึ้น เพราะสีมีอิทธิพลต่อ มวล ปริมาตร และช่องว่าง สีมีคุณสมบัติที่ทำให้เกิดความกลมกลืน หรือขัดแย้งได้ สีสามารถขับเน้นให้ให้เกิด จุดเด่น และการรวมกันให้เกิดเป็นหน่วยเดียวกันได้ เราในฐานะผู้ใช้สีต้องนำหลักการต่างๆ ของสีไปประยุกต์ใช้ให้สอดคล้อง กับเป้าหมายในงานของเรา เพราะสีมีผลต่อการออกแบบ คือ
1.สร้างความรู้สึก สีให้ความรู้สึกต่อผู้พบเห็นแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และภูมิหลัง ของแต่ละคน สีบางสีสามารถรักษาบำบัดโรคจิตบางชนิดได้ การใช้สีภายใน หรือภายนอกอาคาร จะมีผลต่อการ สัมผัส และสร้างบรรยากาศได้
2.สร้างความน่าสนใจ สีมีอิทธิพลต่องานศิลปะการออกแบบ จะช่วยสร้างความประทับใจ และความน่าสนใจเป็นอันดับแรกที่พบเห็น         
3. สีบอกสัญลักษณ์ของวัตถุ ซึ่งเกิดจากประสบการณ์ หรือภูมิหลัง เช่น สีแดงสัญลักษณ์ของไฟ หรืออันตราย สีเขียวสัญลักษณ์แทนพืช หรือความปลอดภัย เป็นต้น
4.สีช่วยให้เกิดการรับรู้ และจดจำ งานศิลปะการออกแบบต้องการให้ผู้พบเห็นเกิดการจดจำ
ในรูปแบบ และผลงาน หรือเกิดความประทับใจ การใช้สีจะต้องสะดุดตา และมีเอกภาพ
แสงและเงา
แสงและเงา หมายถึง แสงที่ส่องมากระทบพื้นผิวที่มีสีอ่อนแก่และพื้นผิวสูงต่ำ โค้งนูนเรียบหรือขรุขระ ทำให้ปรากฏแสงและเงาแตกต่างกัน
ตัวกำหนดระดับของค่าน้ำหนัก  ความเข้มของเงาจะขึ้นอยู่กับความเข้มของแสง  ในที่ที่มีแสงสว่างมาก เงาจะเข้มขึ้น และในที่ที่มีแสงสว่างน้อย เงาจะไม่ชัดเจน ในที่ที่ไม่มีแสงสว่างจะไม่มีเงา และเงาจะอยู่ในทางตรงข้ามกับแสงเสมอ ค่าน้ำหนักของแสงและเงาที่เกิดบนวัตถุ สามารถจำแนกเป็นลักษณะที่ต่างๆ ได้ดังนี้
 1. บริเวณแสงสว่างจัด  (Hi-light)  เป็นบริเวณที่อยู่ใกล้แหล่งกำเนิดแสงมากที่สุด   จะมีความสว่างมากที่สุด ในวัตถุที่มีผิวมันวาวจะสะท้อนแหล่งกำเนิดแสงออกมาให้เห็นได้ชัด
2. บริเวณแสงสว่าง (Light) เป็นบริเวณที่ได้รับแสงสว่าง รองลงมาจากบริเวณแสงสว่างจัด เนื่องจากอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดแสงออกมา และเริ่มมีค่าน้ำหนักอ่อนๆ
3. บริเวณเงา(Shade)เป็นบริเวณที่ไม่ได้รับแสงสว่าง หรือเป็นบริเวณที่ถูกบดบังจากแสงสว่าง ซึ่งจะมีค่าน้ำหนักเข้มมากขึ้นกว่าบริเวณแสงสว่าง
4. บริเวณเงาเข้มจัด (Hi-Shade) เป็นบริเวณที่อยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดแสงมากที่สุด หรือ  เป็นบริเวณที่ถูกบดบังมากๆ หลายๆ ชั้น จะมีค่าน้ำหนักที่เข้มมากไปจนถึงเข้มที่สุด
5. บริเวณเงาตกทอด เป็นบริเวณของพื้นหลังที่เงาของวัตถุทาบลงไป เป็นบริเวณเงาที่อยู่ ภายนอกวัตถุ และจะมีความเข้มของค่าน้ำหนักขึ้นอยู่กับ ความเข้มของเงา น้ำหนักของพื้น หลัง ทิศทางและระยะของเงา
ความสำคัญของค่าน้ำหนัก
1.       ให้ความแตกต่างระหว่างรูปและพื้น หรือรูปทรงกับที่ว่าง
2.       ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหว
3.       ให้ความรู้สึกเป็น 2 มิติ แก่รูปร่าง และความเป็น 3 มิติแก่รูปทรง
4.       ทำให้เกิดระยะความตื้น - ลึก และระยะใกล้ - ไกลของภาพ
5.       ทำให้เกิดความกลมกลืนประสานกันของภาพ
 ใบความรู้
เรื่อง  สร้างสรรค์งานศิลปะและความงามตามธรรมชาติ
ทัศนศิลป์สากล ความหมายของศิลปะและทัศนศิลป์ 
ศิลปะ หมายถึง ผลแห่งความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่แสดงออกมาในรูปลักษณ์ต่างๆให้ปรากฏซึ่งความสุนทรียภาพ ความประทับใจ หรือความสะเทือนอารมณ์ ตามประสบการณ์ รสนิยม และทักษะของบุคคลแต่ละคนนอกจากนี้ยังมีนักปราชญ์ นักการศึกษา ท่านผู้รู้ ได้ให้ความหมายของศิลปะแตกต่างกันออกไป เช่นการเลียนแบบธรรมชาติ การแสดงออของบุคลิกภาพทางอารมณ์ของมนุษย์   และศิลปะคือ การสื่อสารอย่างหนึ่งระหว่างมนุษย์  การระบายความปรารถนาในใจของศิลปินออกมา การแสดงออกของผลงานด้านต่างๆที่สร้างสรรค์
ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับมนุษย์
การสร้างสรรค์ทางศิลปะเป็นกิจกรรมพัฒนาสติปัญญาและอารมณ์ การสร้างสรรค์ศิลปะของมนุษย์เชื่อว่าเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยโบราณตั้งแต่ยุคหินหรือประมาณ 5000,000 - 4,000 ปีล่วงมาแล้ว นับตั้งแต่มนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำ เพิงผา ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และหาของป่าเป็นอาหาร โดยมากศิลปะจะเป็นภาพวาด ซึ่งปรากฏตามผนังถ้ำต่างๆ เช่น ภาพวัวไบซัน ที่ถ้ำอัลตาริมา ในประเทศสเปน ภาพสัตว์ชนิดต่างๆที่ถ้ำลาสล์โก ในประเทศฝรั่งเศส สำหรับประเทศไทยที่พบเห็น เช่นผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี ภาชนะเครื่องปั้นดินเผา ที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี
 ประเภทของงานทัศนศิลป์   สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1.       จิตรกรรม
2.       ประติมากรรม
3.       สถาปัตยกรรม
4.       ภาพพิมพ์
จิตรกรรม
จิตรกรรม เป็นงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการวาด ระบายสี และการจัดองค์ประกอบความงามอื่น เพื่อให้เกิดภาพ 2 มิติ ไม่มีความลึกหรือนูนหนา จิตรกรรมเป็นแขนงหนึ่งของทัศนศิลป์ ผู้ทำงานจิตรกรรม มักเรียกว่า จิตรกร
         จอห์น แคนาเดย์ (John Canaday) ได้ให้ความหมายของจิตรกรรมไว้ว่า จิตรกรรม คือ การระบายชั้นของสีลงบนพื้นระนาบรองรับ เป็นการจัดรวมกันของรูปทรง และ สีที่เกิดขึ้นจากการเตรียมการของศิลปินแต่ละคนในการเขียนภาพนั้น พจนานุกรมศัพท์ อธิบายว่า เป็นการสร้างงานทัศนศิลป์บนพื้นระนาบรองรับ ด้วยการ ลาก ป้าย ขีด ขูด วัสดุ จิตรกรรมลงบนพื้นระนาบรองรับ
ภาพจิตรกรรมที่เก่าแก่ที่สุดที่เป็นที่รู้จักอยู่ที่ถ้ำChauvetในประเทศฝรั่งเศสซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนอ้างว่ามีอายุราว 32,000 ปีเป็นภาพที่สลักและระบายสีด้วยโคลนแดงและสีย้อมดำ แสดงรูปม้า แรด สิงโต ควาย แมมมอธ หรือมนุษย์ ซึ่งมักจะกำลังล่าสัตว์
จิตรกรรม  สามารถจำแนกได้ตามลักษณะผลงานที่สิ้นสุด และวัสดุอุปกรณ์การสร้างสรรค์เป็น 2 ประเภท คือ ภาพวาด และ ภาพเขียน
จิตรกรรมภาพวาด (Drawing) จิตรกรรมภาพวาด เรียกเป็นศัพท์ทัศนศิลป์ภาษไทยได้หลายคำ คือ ภาพวาดเขียน ภาพวาดเส้น หรือบางท่านอาจเรียกด้วยคำทับศัพท์ว่า ดรออิ้ง ก็มี ปัจจุบันได้มีการนำอุปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการเขียนภาพและวาดภาพ ที่ก้าวหน้าและทันสมัยมากมาใช้ ผู้เขียนภาพจึงจึงอาจจะใช้อุปกรณ์ต่างๆมาใช้ในการเขียนภาพ ภาพวาดในสื่อสิ่งพิมพ์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ภาพวาดลายเส้น และ การ์ตูน
จิตรกรรมภาพเขียน (Painting) ภาพเขียนเป็นการสร้างงาน 2 มิติ บนพื้นระนาบด้วยสีหลายสีซึ่งมักจะต้องมีสื่อตัวกลางระหว่างวัสดุกับอุปกรณ์ที่ใช้เขียนอีก ซึ่งกลวิธีเขียนที่สำคัญ คือ
1.      การเขียนภาพสีน้ำ (Color Painting)
          2.      การเขียนภาพสีน้ำมัน (Oil Painting)
          3.      การเขียนภาพสีอะคริลิค (Acrylic Painting)
    ประติมากรรม  เป็นผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการสร้างรูปทรง 3 มิติ มีปริมาตร มีน้ำหนักและกินเนื้อที่ในอากาศ โดยการใช้วัสดุชนิดต่าง ๆ วัสดุที่ใช้สร้างสรรค์งานประติมากรรม จะเป็นตัวกำหนด วิธีการสร้างผลงาน ความงามของงานประติมากรรม เกิดจากการแสงและเงา ที่ เกิดขึ้นในผลงานการสร้างงานประติมากรรมทำได้ 4 วิธี คือ
1. การปั้น (Casting) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุทีเหนียว อ่อนตัว และยึดจับตัวกันได้ดี วัสดุที่นิยมนำมาใช้ปั้นได้แก่ ดินเหนียว ดินน้ำมัน ปูน แป้ง ขี้ผึ้ง กระดาษ หรือขี้เลื่อยผสมกาว เป็นต้น
2. การแกะสลัก (Carving) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุที่ แข็ง เปราะ โดยอาศัย เครื่องมือ วัสดุที่นิยมนำมาแกะ ได้แก่ ไม้ หิน กระจก แก้ว ปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น
          3.      การหล่อ (Molding) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุที่หลอมตัวได้และกลับแข็ง ตัวได้ โดยอาศัยแม่พิมพ์ ซึ่งสามารถทำให้เกิดผลงานที่เหมือนกันทุกประการตั้งแต่ 2 ชิ้น ขึ้นไป วัสดุที่นิยมนำมาใช้หล่อ ได้แก่ โลหะ ปูน แป้ง แก้ว ขี้ผึ้ง ดิน เรซิ่น พลาสติก ฯลฯ เช่น รำมะนา (ชิต เหรียญประชา)
4. การประกอบขึ้นรูป (Construction) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ โดยนำวัสดุต่าง ๆ มา ประกอบเข้าด้วยกัน และยึดติดกันด้วยวัสดุต่าง ๆ การเลือกวิธีการสร้างสรรค์งานประติมากรรม ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ต้องการใช้ ประติมากรรม ไม่ว่าจะสร้างขึ้นโดยวิธีใด จะมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ แบบนูนต่ำ แบบนูนสูง และแบบลอยตัว ผู้สร้างสรรค์งานประติมากรรม เรียกว่า ประติมากร
ประเภทของงานประติมากรรม
1.ประติมากรรมแบบนูนต่ำ (Bas Relief) เป็นรูปที่เป็นนูนขึ้นมาจากพื้นหรือมีพื้นหลัง รองรับ มองเห็นได้ชัดเจนเพียงด้านเดียว คือด้านหน้า มีความสูงจากพื้นไม่ถึงครึ่งหนึ่งของรูป จริง ได้แก่รูปนูนแบบเหรียญ รูปนูนที่ใช้ประดับตกแต่งภาชนะ หรือประดับตกแต่งอาคารทาง สถาปัตยกรรม โบสถ์ วิหารต่างๆ พระเครื่องบางชนิด
2. ประติมากรรมแบบนูนสูง ( High Relief ) เป็นรูปต่างๆ ในลักษณะเช่นเดียวกับแบบ นูนต่ำ แต่มีความสูงจากพื้นตั้งแต่ครึ่งหนึ่งของรูปจริงขึ้นไป ทำให้เห็นลวดลายที่ลึก ชัดเจน และ และเหมือนจริงมากกว่าแบบนูนต่ำและใช้งานแบบเดียวกับแบบนูนต่ำ
3. ประติมากรรมแบบลอยตัว (Round Relief ) เป็นรูปต่าง ๆ ที่มองเห็นได้รอบด้านหรือ ตั้งแต่  4 ด้านขึ้นไปได้แก่ ภาชนะต่างๆ รูปเคารพต่างๆ พระพุทธรูป  รูปตามคตินิยม รูปบุคคลสำคัญ รูปสัตว์ ฯลฯ
สถาปัตยกรรม (Architecture) หมายถึง การออกแบบก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ทั้งสิ่งก่อสร้างที่คนทั่วไปอยู่อาศัยได้ เช่นสถูป เจดีย์ อนุสาวรีย์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงการกำหนดผังบริเวณต่างๆ เพื่อให้เกิดความสวยงามและเป็นประโยชน์แก่การ ใช้สอยตามต้องการ งานสถาปัตยกรรมเป็นแหล่งรวมของงานศิลปะทางกายภาพเกือบทุกชนิด และมักมีรูปแบบแสดงเอกลักษณ์ของ สังคมนั้นๆ ในช่วงเวลานั้นๆ เราแบ่งลักษณ์งานของสถาปัตยกรรมออกได้เป็น ๓ แขนง ดังนี้คือ
1.  สถาปัตยกรรมออกแบบก่อสร้าง เช่น การออกแบบสร้างตึกอาคาร บ้านเรือน เป็นต้น
2.   ภูมิสถาปัตย์ เช่น การออกแบบวางผัง จัดบริเวณ วางผังปลูกต้นไม้ จัดสวน เป็นต้น
        3. สถาปัตยกรรมผังเมือง ได้แก่ การออกแบบบริเวณเมืองให้มีระเบียบ มีความสะอาด มีความรวดเร็วในการติดต่อ และถูกหลักสุขาภิบาล เราเรียกผู้สร้างงานสถาปัตยกรรมว่า สถาปนิก
องค์ประกอบสำคัญของสถาปัตยกรรม
จุดสนใจและความหมายของศาสตร์ทางสถาปัตยกรรมนั้น ได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
บทความ De Architectura ของวิทรูเวียส ซึ่งเป็นบทความเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม ที่เก่าแก่ที่สุดที่เราค้นพบ ได้กล่าวไว้ว่า สถาปัตยกรรมต้องประกอบด้วยองค์ประกอบสามส่วนหลักๆ ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวและสมดุล อันได้แก่
ความงาม (Venustas) หมายถึง สัดส่วน และองค์ประกอบ การจัดวางที่ว่าง สี วัสดุ และพื้นผิวของอาคาร ที่ผสมผสานลงตัว ที่ยกระดับจิตใจ ของผู้ได้ยลหรือเยี่ยมเยือนสถานที่นั้นๆ
ความมั่นคงแข็งแรง (Firmitas)  และประโยชน์ใช้สอย (Utilitas) หมายถึง การสนองประโยชน์ และ การบรรลุประโยชน์แห่งเจตนา รวมถึงปรัชญาของสถานที่นั้นๆ
สถาปัตยกรรมไทย
ตัวอย่างของสถาปัตยกรรมไทย ได้แก่
·         เรือนไทย ซึ่งมีรูปแบบแตกต่างกันในแต่ละภาค
·         วัดไทย รวมถึง อุโบสถ วิหาร หอระฆัง เจดีย์
·         พระราชวัง ป้อมปราการ
สถาปัตยกรรมตะวันตก
ตัวอย่างเช่น บ้านเรือน โบสถ์ วิหาร ปราสาท ราชวัง ซึ่งมีทั้งสถาปัตยกรรมแบบโบราณ เช่น กอธิก ไบแซนไทน์ จนถึงแบบสมัยใหม่
ศิลปะภาพพิมพ์ ( Printmaking)
ภาพพิมพ์ โดยความหมายของคำย่อมเป็นที่เข้าใจชัดเจนแล้วว่า หมายถึงรูปภาพที่สร้างขึ้นมาโดยวิธีการพิมพ์ แต่สำหรับคนไทยส่วนใหญ่เมื่อพูดถึง ภาพพิมพ์อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักว่าภาพพิมพ์คืออะไรกันแน่ เพราะคำๆนี้เป็นคำใหม่ที่เพิ่งเริ่มใช้กันมาประมาณเมื่อ 30 ปี มานี้เอง   
โดยความหมายของคำเพียงอย่างเดียวอาจจะชวนให้เข้าใจสับสนไปถึงรูปภาพที่พิมพ์ด้วยกรรม วิธีการพิมพ์ทางอุตสาหกรรมเช่น โปสเตอร์ ภาพพิมพ์ที่จำลองจากภาพถ่าย หรือภาพจำลอง  จิตรกรรมอันที่จริงคำว่า ภาพพิมพ์ เป็นศัพท์เฉพาะทางศิลปะที่หมายถึง ผลงานวิจิตรศิลป์ที่จัดอยู่ในประเภท ทัศนศิลป์ เช่น เดียวกันกับจิตรกรรมและประติมากรรม
ภาพพิมพ์ทั่วไปมีลักษณะเช่นเดียวกับจิตรกรรมและภาพถ่าย คือตัวอย่างผลงานมีเพียง 2 มิติ ส่วนมิติที่3 คือ ความลึกที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ ภาษาเฉพาะของทัศนศิลป์ อันได้แก่ เส้น สี น้ำหนัก และพื้นผิว สร้างให้ดูลวงตาลึกเข้าไปในระนาบ 2 มิติของผิวภาพ แต่ภาพพิมพ์มีลักษณะเฉพาะทีแตกต่างจากจิตรกรรมตรงกรรมวิธีการสร้างผลงานที่จิตรกรรมนั้นศิลปินเป็นผู้สร้างสรรค์ขีดเขียนหรือวาดภาพระบาย สีลงไปบนผืนผ้าใบ กระดาษ หรือสร้างออกมาเป็นภาพโดยทันที แต่การสร้างผลงานภาพพิมพ์ศิลปินต้องสร้างแม่พิมพ์ขึ้นมาเป็นสื่อก่อน แล้วจึงผ่านกระบวนการพิมพ์ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพที่ต้องการได้  จากกรรมวิธีในการสร้างผลงานด้วยการพิมพ์นี้เองที่ทำให้ศิลปินสามารถสร้างผลงานต้นแบบ(Original) ที่เหมือนๆกันได้หลายชิ้น เช่นเดียวกับผลงานประติมากรรม ประเภทที่ปั้นด้วยดินแล้วทำแม่พิมพ์หล่อผลงานชิ้นนั้นให้เป็นวัสดุถาวร เช่นทองเหลือง หรือสำริด ทุกชิ้นที่หล่อออกมาถือว่าเป็นผลงานต้นแบบมิใช่ผลงานจำลอง (Reproduction) ทั้งนี้เพราะว่าภาพพิมพ์นั้นก็มิใช่ผลงานจำลองจากต้นแบบที่เป็นจิตรกรรมหรือวาดเส้น แต่ภาพพิมพ์เป็นผลงานสร้างสรรค์ ที่ศิลปินมีทั้งเจตนาและความเชี่ยวชาญในการใช้คุณลักษณะพิเศษเฉพาะของเทคนิควิธีการทางภาพพิมพ์ แต่ละชนิดมาใช้ในการถ่ายทอดจินตนาการ ความคิด และอารมณ์ ความรู้สึกออกมาในผลงานได้โดยตรง แตกต่างกับการที่นำเอาผลงานจิตรกรรมที่สร้างสำเร็จไว้แล้วมาจำลองเป็นภาพโดยผ่านกระบวนการทางการพิมพ์
     ในการพิมพ์ผลงานแต่ละชิ้น ศิลปินจะจำกัดจำนวนพิมพ์ตามหลักเกณฑ์สากล ที่ศิลปะสมาคมระหว่างชาติ ซึ่งไทยก็เป็นสมาชิกอยู่ด้วย ได้กำหนดไว้โดยศิลปินผู้สร้างผลงานจะเขียนกำกับไว้ที่ด้านซ้ายของภาพ เช่น 3/30 เลข 3 ตัวหน้าหมายถึงภาพที่ 3 ส่วนเลข 30 ตัวหลังหมายถึงจำนวนที่ พิมพ์ทั้งหมด ในภาพพิมพ์บางชิ้นศิลปินอาจเซ็นคำว่า A/P ไว้แทนตัวเลขจำนวนพิมพ์ A/Pนี้ย่อมาจาก  Artist's Proof ซึ่งหมายความว่า ภาพๆนี้เป็นภาพที่พิมพ์ขึ้นมาหลังจากที่ศิลปินได้มีการทดลองแก้ไข  จนได้คุณภาพสมบูรณ์ตามที่ต้องการ จึงเซ็นรับรองไว้หลังจากพิมพ์ A/P ครบตามจำนวน 10% ของจำนวนพิมพ์ทั้งหมด จึงจะเริ่มพิมพ์ให้ครบตามจำนวนเต็มที่กำหนดไว้ หลังจากนั้นศิลปินจะทำลาย  แม่พิมพ์ด้วยการขูดขีด หรือวิธีการอื่นๆ และพิมพ์ภาพสุดท้ายนี้ไว้เพื่อเป็นหลักฐาน เรียกว่า Cancellation Proof  สุดท้ายศิลปินจะเซ็นทั้งหมายเลขจำนวนพิมพ์ วันเดือนปี และลายเซ็นของศิลปินเอง ไว้ด้านล่างขวาของภาพ เพื่อเป็นการรับรองคุณภาพด้วยทุกชิ้น จำนวนพิมพ์นี้อาจจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความนิยมของ ตลาด และปัจจัยอื่นๆอีกหลายประการ
สำหรับศิลปินไทยส่วนใหญ่จะจำกัดจำนวนพิมพ์ไว้ค่อนข้างต่ำประมาณ 5-10 ภาพ ต่อ ผลงาน 1 ชิ้น กฎเกณฑ์ที่ศิลปินทั่วโลกถือปฏิบัติกันเป็นหลักสากลนี้ย่อมเป็นการรักษามาตรฐานของภาพพิมพ์  ไว้ อันเป็นการส่งเสริมภาพพิมพ์ให้แพร่หลายและเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
รูปแบบของศิลปะภาพพิมพ์ในด้านเทคนิค
1.       กรรมวิธีการพิมพ์ผิวนูน (Relief Process)
2.       กรรมวิธีการพิมพ์ร่องลึก (Intaglio Process )
3.       กรรมวิธีการพิมพ์พื้นราบ (Planography Process )
4.       กรรมวิธีการพิมพ์ผ่านช่องฉลุ (Serigraphy)
5.       กรรมวิธีการพิมพ์เทคนิคผสม (Mixed Tecniques)
6.       การพิมพ์วิธีพื้นฐาน (Basic Printing)
รูปแบบของศิลปะภาพพิมพ์ในทางทฤษฎีสุนทรียศาสตร์
1.       รูปแบบแสดงความเป็นจริง (Figuration Form)
2.       รูปแบบผันแปรความเป็นจริง (Semi - Figuration Form)
3.       รูปแบบสัญลักษณ์ (Symbolic Form)
4.       รูปแบบที่ปราศจากเนื้อหา (Non - Figuration Form)
ความสำคัญของเนื้อหา
1.   กระบวนการสร้างแม่พิมพ์ ในงานศิลปะภาพพิมพ์ มีหลายลักษณะและแต่ละลักษณะมีความเป็นเฉพาะของภาพลักษณ์ (Image) ในเทคนิค ซึ่งแต่ละเทคนิคสามารถตอบสนองเนื้อหาในทางศิลปะได้ตามผลของเทคนิคนั้นๆเช่นกรรมวิธีการพิมพ์ร่องลึกสามารถถ่ายทอดเนื้อหาในเรื่องพื้นผิว(TEXTURE)  ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
2. ในทฤษฎีทางสุนทรียศาสตร์ทำให้แยกแยะถึงรูปแบบในทางศิลปะในแบบต่างๆ เพื่อให้ทราบถึงวิธีการแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ ของศิลปินได้
 ารวิพากษ์วิจารณ์งานทัศนศิลป์
ความหมาย
      การวิเคราะห์งานศิลปะ หมายถึง การพิจารณาแยกแยะศึกษาองค์รวมของงานศิลปะออกเป็นส่วนๆ ทีละประเด็น ทั้งในด้านทัศนธาตุ องค์ประกอบศิลป์ และความสัมพันธ์ต่างๆ  ในด้านเทคนิคกรรมวิธีการแสดงออก เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาประเมินผลงานศิลปะว่ามีคุณค่าทางด้านความงาม ทางด้านสาระ และทางด้านอารมณ์ความรู้สึกอย่างไร
       การวิจารณ์งานศิลปะ  หมายถึง การแสดงออกทางด้านความคิดเห็นต่อผลงานทางศิลปะที่ศิลปินสร้างสรรค์ขึ้นไว้โดยผู้วิจารณ์ให้ความคิดเห็นตามหลักเกณฑ์และหลักการของศิลปะทั้งในด้านสุนทรีย ศาสตร์และสาระอื่นๆ ด้วยการติชมเพื่อให้ได้ข้อคิดนำไปปรับปรุงพัฒนาผลงานศิลปะ หรือใช้เป็นข้อมูลในการประเมินตัดสินผลงาน และเป็นการฝึกวิธีดู วิธีวิเคราะห์ คิดเปรียบเทียบให้เห็นคุณค่าในผลงานศิลปะชิ้นนั้นๆ
คุณสมบัติของนักวิจารณ์
1.       ควรมีความรู้เกี่ยวกับศิลปะทั้งศิลปะประจำชาติและศิลปะสากล
2.      ควรมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะ
3.      ควรมีความรู้เกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ ช่วยให้รู้แง่มุมของความงาม
4.      ต้องมีวิสัยทัศน์กว้างขวาง และไม่คล้อยตามคนอื่น
5.      กล้าที่จะแสดงออกทั้งที่เป็นไปตามหลักวิชาการและตามความรู้สึกและประสบการณ์
ทฤษฎีการสร้างงานศิลปะ จัดเป็น 4 ลักษณะ  ดังนี้
1.      นิยมการเลียนแบบ (Imitationalism Theory) เป็นการเห็นความงามในธรรมชาติแล้วเลียนแบบไว้ให้เหมือนทั้งรูปร่าง รูปทรง สีสัน ฯลฯ
2.  นิยมสร้างรูปทรงที่สวยงาม (Formalism Theory) เป็นการสร้างสรรค์รูปทรงใหม่ให้สวยงามด้วยทัศนธาตุ (เส้น รูปร่าง รูปทรง สี น้ำหนัก พื้นผิว บริเวณว่าง) และเทคนิควิธีการต่างๆ
3.  นิยมแสดงอารมณ์ (Emotional Theory) เป็นการสร้างงานให้ดูมีความรู้สึกต่างๆ ทั้งที่เป็นอารมณ์อันเนื่องมาจากเรื่องราวและอารมณ์ของศิลปินที่ถ่ายทอดลงไปในชิ้นงาน
4.   นิยมแสดงจินตนาการ (Imagination Theory) เป็นงานที่แสดงภาพจินตนาการ แสดงความคิดฝันที่แตกต่างไปจากธรรมชาติและสิ่งที่พบเห็นอยู่เป็นประจำ
แนวทางการวิเคราะห์และประเมินคุณค่าของงานศิลปะ
    การวิเคราะห์และการประเมินคุณค่าของงานศิลปะโดยทั่วไปจะพิจารณาจาก  3 ด้าน  ได้แก่
             1.   ด้านความงาม
  เป็นการวิเคราะห์และประเมินคุณค่าในด้านทักษะฝีมือ การใช้ทัศนธาตุทางศิลปะ และการจัดองค์ประกอบศิลป์ว่าผลงานชิ้นนี้แสดงออกทางความงามของศิลปะได้อย่างเหมาะสมสวยงามและส่งผลต่อผู้ดูให้เกิดความชื่นชมในสุนทรียภาพเพียงใด ลักษณะการแสดงออกทางความงามของศิลปะจะมีหลากหลายแตกต่างกันออกไปตามรูปแบบของยุคสมัย ผู้วิเคราะห์และประเมินคุณค่าจึงต้องศึกษาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจด้วย
             2.     ด้านสาระ
เป็นการวิเคราะห์และประเมินคุณค่าของผลงานศิลปะแต่ละชิ้นว่ามีลักษณะส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมตลอดจนจุดประสงค์ต่างๆ ทางจิตวิทยาว่าให้สาระอะไรกับผู้ชมบ้าง ซึ่งอาจเป็นสาระเกี่ยวกับธรรมชาติ สังคม ศาสนา การเมือง ปัญญา ความคิด จินตนาการ และความฝัน
3.    ด้านอารมณ์ความรู้สึก
              เป็นการคิดวิเคราะห์ และประเมินคุณค่าในด้านคุณสมบัติที่สามารถกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก และสื่อความหมายได้อย่างลึกซึ้งของวัสดุ ซึ่งเป็นผลของการใช้เทคนิคแสดงออกถึงความคิด พลัง ความรู้สึกที่ปรากฏอยู่ในผลงาน เช่น  ความงามตามธรรมชาติ
ความของธรรมชาติและศิลปะ
ธรรมชาติ (Natural) หมายถึง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นตามวัฏจักรของระบบสุริยะ โดยที่มนุษย์มิได้เป็นผู้สรรค์สร้างขึ้น เช่น กลางวัน กลางคืน เดือนมืด คืนเดือนเพ็ญ ภูเขา น้ำตก ถือว่าเป็นธรรมชาติ หรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  ศิลปะ (Art) ตามความหมายทางพจนานุกรมและนักปราชญ์ทางศิลปะได้ให้ความหมายอย่างกว้างขวางตามแนวทางหรือทัศนะส่วนตัวไว้ดังนี้ คือ ศิลปะ(ART) คำนี้ ตามแนวสากล มาจากคำว่า ARTI และ ARTE ซึ่งเป็นคำที่นิยมใช้กันในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา คำว่า ARTI นั้น หมายถึง กลุ่มช่างฝีมือในศตวรรษที่ 14, 15 และ 16 ส่วนคำว่า ARTE หมายถึง ฝีมือ ซึ่งรวมถึง ความรู้ของการใช้วัสดุของศิลปินด้วย เช่น การผสมสีสำหรับลงพื้น การเขียนภาพสีน้ำมัน หรือการเตรียม และการใช้วัสดุอื่นอีกศิลปะ ตามความหมายของพจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถานสถาน พ.ศ. 2493 ได้อธิบายไว้ว่าศิลปะ (สิน ละ ปะ) น. หมายถึง ฝีมือ ฝีมือทางการช่าง การแสดงออกมาให้ปรากฏขึ้นได้อย่างน่าพึงชม และเกิดอารมณ์สะเทือนใจศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ให้ความหมายของศิลป์ไว้ว่า ศิลปะ หมายถึง งานที่ต้องใช้ความพยายามด้วยฝีมือและความคิด เช่น ตัดเสื้อ สร้างเครื่องเรือน ปลูกต้นไม้ เป็นต้น และเมื่อกล่าวถึง งานทางวิจิตรศิลป์ (Fine Arts) หมายถึงงานอันเป็นความพากเพียรของมนุษย์ นอกจากต้องใช้ความพยายามด้วยมือ ด้วยความคิด แล้วต้องมีการพวยพุ่งแห่งพุทธิปัญญาและจิตออกมาด้วย (INTELLECTURL AND SPIRITUAL EMANATION)ศิลปะ ตามความหมายของพจนากรุกรมศัพท์ศิลปะ อังกฤษ ไทย ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2530 ได้อธิบายไว้ว่า “ART ศิลปะ คือ ผลแห่งความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่แสดงออกในรูปลักษณ์ต่างๆ ให้ปรากฏซึ่งสุนทรียภาพ ความประทับใจ หรือความสะเทือนอารมณ์ตามอัจฉริยภาพ พุทธิปัญญา ประสบการณ์ รสนิยมและทักษะของแต่ละคน เพื่อความพอใจ ความรื่นรมย์ ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี หรือความเชื่อในลัทธิศาสนา
องค์ประกอบที่สำคัญในงานศิลปะ
1.   รูปแบบ (FORM) ในงานศิลปะ หมายถึง รูปร่างลักษณะที่ศิลปินถ่ายทอดออกมาให้ปรากฏเป็นรูปธรรมในงานศิลปะ อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดคือ 1.1 รูปแบบธรรมชาติ (NATURAL FORM) ได้แก่ น้ำตก ภูผา ต้นไม้ ลำธาร กลางวัน กลางคืน ท้องฟ้า ทะเล เป็นต้น 1.2 รูปแบบเรขาคณิต (GEOMETRIC FORM) ได้แก่ สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลม ทรงกระบอก เป็นต้น 1.3 รูปแบบนามธรรม (ABSTRACT FORM) ได้แก่ รูปแบบที่ศิลปินได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเอง โดยอิสระ หรืออาจตัดทอน (DISTROTION) ธรรมชาติ ให้เหลือเป็นเพียงสัญลักษณ์ (SYMBOL) ที่สื่อความหมายเฉพาะตัวของศิลปินซึ่งรูปแบบที่กล่าวมาข้างต้น ศิลปินสามารถที่จะเลือกสรรนำมาสร้างเป็นงานศิลปะ ตามความรู้สึกที่ประทับใจหรือพึงพอใจในส่วนตัวของศิลปิน
2.  เนื้อหา (CONTENT) หมายถึง การสะท้อนเรื่องราวลงไปในรูปแบบดังกล่าว เช่นกลางวันกลางคืน ความรัก การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง และคุณค่าทางการจัดองค์ประกอบทางศิลปะ    เป็นต้น
3.   เทคนิค (TECHNIQUE) หมายถึง ขบวนการเลือกสรรวัสดุ ตลอดจนวิธีการสร้างสรรค์ นำมาสร้างศิลปะชิ้นนั้นๆ  เช่นสีน้ำมัน สีชอล์ก สีน้ำ ในงานจิตรกรรม หรือไม้ เหล็ก หิน ในงานประติมากรรม   เป็นต้น
4. สุนทรียศาสตร์ (AESTHETICAL ELEMENTS) ซึ่งมี 3 อย่าง คือ ความงาม (BEAUTY) ความแปลกหูแปลกตา (PICTURESQUENESS) และความน่าทึ่ง (SUBLIMITY)ซึ่งศิลปกรรมชิ้นหนึ่งอาจมีทั้งความงามและความน่าทึ่งผสมกันก็ได้ เช่น พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย อาจมีทั้งความงามและความน่าทึ่งรวมอยู่ด้วยกัน เป็นต้นการที่คนใดคนหนึ่งมีสุนทรียะธาตุในความสำนึก เรียกว่า มีประสบการณ์ทางสุนทรียศาสตร์ (AESTHETHICAL EXPERIENCE) ซึ่งจะต้องอาศัยการเพาะบ่มทั้งในด้านทฤษฎี ตลอดจนการให้ความสนใจเอาใจใส่รับรู้ต่อการเคลื่อนไหวของวงการศิลปะโดยสม่ำเสมอ เช่น การชมนิทรรศการที่จัดขึ้นในหอศิลป์ เป็นต้น เมื่อกล่าวถึง งานศิลปกรรมและองค์ประกอบ ที่สำคัญในงานศิลปะแล้วหากจะย้อนรอยจากความเป็นมาในอดีตจนถึงปัจจุบันแล้ว พอจะแยกประเภทการสร้างสรรค์ของศิลปินออกได้เป็น 3 กลุ่มดังนี้
1.    กลุ่มที่ยึดรูปธรรม (REALISTIC) หมายถึง กลุ่มที่ยึดรูปแบบที่เป็นจริงในธรรมชาติมาเป็นหลักในการสร้างงานศิลปะ สร้างสรรค์ออกมาให้มีลักษณะคล้ายกับกล้องถ่ายภาพ หรือตัดทอนบางสิ่งออกเพียงเล็กน้อย ซึ่งกลุ่มนี้ได้พยายามแก้ปัญหาให้กับผู้ดูที่ไม่มีประสบการณ์ทางศิลปะ และสามารถสื่อความหมายระหว่างศิลปะกับผู้ดูได้ง่ายกว่าการสร้างสรรค์ผลงานในลักษณะอื่นๆ
           2.    กลุ่มนามธรรม (ABSTRACT) หมายถึง กลุ่มที่ยึดแนวทางการสร้างงานที่ตรงข้ามกับกลุ่มรูปธรรม ซึ่งศิลปินกลุ่มนี้มุ่งที่จะสร้างรูปทรง (FORM) ขึ้นมาใหม่โดยที่ไม่อาศัยรูปทรงทางธรรมชาติ หรือหากนำธรรมชาติมาเป็นข้อมูลในการสร้างสรรค์ก็จะใช้วิธีลดตัดทอน (DISTORTION) จนในที่สุดจะเหลือแต่โครงสร้างที่เป็นเพียงสัญญาลักษณ์ และเช่นงานศิลปะของ มอนเดียน (MONDIAN)
3.กลุ่มกึ่งนามธรรม(SEMI-ABSTRACT)เป็นกลุ่มอยู่กึ่งกลางระหว่างกลุ่มรูปธรรม (REALISTIC) และกลุ่มนามธรรม(ABSTRACT)หมายถึง กลุ่มที่สร้างงานทางศิลปะโดยใช้วิธีลดตัดทอน (DISTORTION) รายละเอียดที่มีในธรรมชาติให้ปรากฏออกมาเป็นรูปแบบทางศิลปะเพื่อผลทางองค์ประกอบ (COMPOSITION) หรือผลของการแสดงออก แต่ยังมีโครงสร้างอันบ่งบอกถึงที่มาแต่ไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นผลที่ผู้เขียนได้กล่าวนำในเบื้องต้นจากการแบ่งกลุ่มการสร้างสรรค์ของศิลปินทั้ง 3 กลุ่ม ที่กล่าวมาแล้วนั้น มีนักวิชาการทางศิลปะได้เปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจ คือ กลุ่มรูปธรรม (REALISTIC) เปรียบเสมือนการคัดลายมือแบบตัวบรรจง กลุ่มนามธรรม (ABSTRACT) เปรียบเสมือนลายเซ็น กลุ่มกึ่งนามธรรม (SEMI-ABSTRACT) เปรียบเสมือนลายมือหวัด
มนุษย์กับศิลปะ
          หากกล่าวถึงผลงานศิลปะทำไมจะต้องกล่าวถึงแต่เพียงสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเท่านั้น จอมปลวกรังผึ้งหรือรังนกกระจาบ ก็น่าที่จะเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเยี่ยม ที่เกิดจากสัตว์ต่างๆ เหล่านั้น หากเราจะมาทำความเข้าใจ ถึงที่มาของการสร้างก็พอจะแยกออกได้เป็น 2 ประเด็น  ประเด็นที่ 1   ทำไมจอมปลวก รังผึ้ง หรือรังนกกระจาบ สร้างขึ้นมาจึงไม่เรียกว่างานศิลปะ  ประเด็นที่ 2 ทำไมสิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมาถึงเรียกว่า เป็น ศิลปะ
          จากประเด็นที่ 1 เราพอจะสามารถวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่เราไม่เรียกว่า เป็นผลงานศิลปะเพราะปลวก ผึ้ง และนกกระจาบสร้างรัง หรือจอมปลวกขึ้นมาด้วยเหตุผลของสัญชาตญาณที่ต้องการความปลอดภัย ซึ่งมีอยู่ในตัวของสัตว์ทุกชนิด ที่จำเป็นต้องสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันภัยจากสัตว์ร้ายต่างๆ ตลอดจนภัยธรรมชาติ เช่น ฝนตก แดดออก เป็นต้น หรืออาจต้องการความอบอุ่น ส่วนเหตุผลอีกประการหนึ่ง คือ จอมปลวก รังผึ้ง หรือรังนกกระจาบนั้น ไม่มีการพัฒนาในเรื่องรูปแบบ ไม่มีการสร้างสรรค์ให้ปรากฏรูปลักษณ์แปลกใหม่ขึ้นมายังคงเป็นอยู่แบบเดิมและตลอดไป จึงไม่เรียกว่า เป็นผลงานศิลปะ แต่ในทางปัจจุบัน หากมนุษย์นำรังนกกระจาบหรือรังผึ้งมาจัดวางเพื่อประกอบกับแนวคิดสร้างสรรค์เฉพาะตน เราก็อาจจัดได้ว่า เป็นงานศิลปะ เพราะเกิดแรงจูงใจภายในของศิลปิน (Intrinsic Value) ที่เห็นคุณค่าของความงามตามธรรมชาตินำมาเป็นสื่อในการสร้างสรรค์
          ประเด็นที่ 2 ทำไมสิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมาถึงเรียกว่า ศิลปะ หากกล่าวถึงประเด็นนี้ ก็มีเหตุผลอยู่หลายประการซึ่งพอจะกล่าวถึงพอสังเขป ดังนี้
1.       มนุษย์สร้างงานศิลปะขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์หรือจุดมุ่งหมายในการสร้าง เช่น- ชาวอียิปต์ (EGYPT) สร้างมาสตาบ้า (MASTABA) ซึ่งมีรูปร่างคล้ายม้าหินสำหรับนั่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมแท่งสูงข้างบนเป็นพื้นที่ราบ มุมทั้งสี่เอียงลาดมาที่ฐานเล็กน้อย มาสตาบ้าสร้างด้วยหินขนาดใหญ่ เป็นที่ฝังศพขุนนาง หรือผู้ร่ำรวยซึ่งต่อมาพัฒนามาเป็นการสร้างพีระมิด (PYRAMID) เพื่อบรรจุศพของกษัตริย์หรือฟาโรห์ (PHARAOH) มีการอาบน้ำยาศพหรือรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยโดยทำเป็นมัมมี่ (MUMMY) บรรจุไว้ภายใน เพื่อรอวิญญาณกลับคืนสู่ร่าง ตามความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ของชาวอียิปต์การก่อสร้างพุทธสถานเช่น สร้างวัด สร้างพระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาการเปรียญ ในพุทธศาสนา มีจุดประสงค์ เพื่อใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อเป็นที่พำนักของสงฆ์ ตลอดจนใช้เป็นที่เผยแพร่ศาสนา
2. มีการสร้างเพื่อพัฒนารูปแบบโดยไม่สิ้นสุด จะเห็นได้จากมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (PRE HISTORICAL PERIOD) ได้หลบภัยธรรมชาติ ตลอดจนสัตว์ร้ายเข้าไปอาศัยอยู่ในถ้ำ เมื่อมีความเข้าใจในปรากฏการณ์ อันเกิดขึ้นจากธรรมชาติและประดิษฐ์เครื่องมือ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยจนในสมัยต่อมา มีการพัฒนาการสร้างรูปแบบอาคารบ้านเรือนในรูปแบบต่างๆ ตามความเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรม และความเจริญทางเทคโนโลยีมีการใช้คอนกรีตเสริมเหล็กและวัสดุสมัยใหม่เข้ามาช่วยในการก่อสร้างอาคาร บ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ตลอดจนมีการพัฒนารูปแบบทางสถาปัตยกรรมให้กลมกลืนกับธรรมชาติแวดล้อม เช่นสถาปัตยกรรม “THE KAUF MANN HOUSE” ของแฟรงค์ ลอยด์ ไรท์ ที่รัฐเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา
3.ความต้องการทางกายภาพที่เป็นปฐมภูมิของมนุษย์ทุกเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์เพื่อนำมาซึ่งความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตในสังคมปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากเครื่องอุปโภค บริโภคตลอดจนเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆซึ่งเป็นผลิตผลที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ทั้งสิ้นในทางศิลปะที่เช่นเดียวกับ ศิลปินจะไม่จำเจอยู่กับงานศิลปะที่มีรูปแบบเก่าๆ หรือสร้างงานรูปแบบเดิมซ้ำๆ กันแต่จะคิดค้นรูปแบบ เนื้อหาหรือเทคนิคที่แปลกใหม่ให้กับตัวเองเพื่อพัฒนาการสร้างงานศิลปะรูปแบบเฉพาะตนอย่างมีลำดับขั้นตอน เพื่อง่ายแก่การเข้าใจจึงขอให้ผู้อ่านทำความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างสรรค์ในทางศิลปะเสียก่อน
ความงามตามทัศนศิลป์สากล
การรับรู้ความงามทางศิลปะ
สำหรับการรับรู้ความงามทางศิลปะของมนุษย์นั้น สามารถรับรู้ได้ 2 ทาง คือ ทางสายตาจากการมองเห็น และทางหูจากการได้ยิน ซึ่งแบ่งได้ 3 รูปแบบดังนี้
1.    ทัศนศิลป์ (Visual Art) เป็นงานศิลปะที่รับสัมผัสความงามได้ด้วยสายตา จากการมองเห็น
 งานศิลปะส่วนใหญ่จะเป็นงานทัศนศิลป์ทั้งสิ้น ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม มัณฑนาศิลป์ อุตสาหกรรมศิลป์ พาณิชย์ศิลป์
2.  โสตศิลป์ (Audio Art) เป็นงานศิลปะที่รับสัมผัสความงามได้ด้วยหู จากการฟังเสียง งานศิลปะ ที่จัดอยู่ในประเภทโสตศิลป์ ได้แก่ ดนตรี และ วรรณกรรม
3. โสตทัศนศิลป์ (Audiovisual Art) เป็นงานศิลปะที่รับสัมผัสความงามทางศิลปะได้ทั้งสองทาง คือจากการมองเห็นและจากการฟัง งานศิลปะประเภทนี้ ได้แก่ ศิลปะการแสดงนาฏศิลป์ การละคร การภาพยนตร์
วิวัฒนาการของทัศนศิลป์สากล
ศิลปะของชาติต่างๆ ในซีกโลกตะวันตกมีลักษณะใกล้เคียงกัน จึงพัฒนาขึ้นเป็นศิลปะสากล ความเชื่อมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมมนุษย์ทั้งความคิด การแสดงออก และการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะในงานศิลปกรรมมีรูปแบบความงามหลายแบบ ที่เกิดจากพลังแห่งความศรัทธาจากความเชื่อถือในเรื่องต่างๆ
รูปแบบความงามอันเนื่องมาจากความเชื่อถือ จะปรากฏเป็นความงามตามความคิดของช่างในยุคนั้นผสมกับฝีมือ และเครื่องมือที่ยังไม่ค่อยมีคุณภาพมากนัก ทำให้งานจิตรกรรมในยุคก่อนประวัติศาสตร์   ดูไม่ค่อยงามมากนักในสายตาของคนปัจจุบัน
1. ศิลปะสมัยกลาง (Medieval Arts)
ทัศนศิลป์อันเนื่องมาจากคริสต์ศาสนา
ความเชื่อในสมัยกลาง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ศาสนาคริสต์เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตและการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมของชาวตะวันตก โดยมีความเชื่อว่าความงามเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาโดยผ่านทางศิลปิน เพื่อเป็นการแสดงถึงความศรัทธาอย่างยิ่งในพระเจ้า ศิลปินต้องสร้างผลงานโดยแสดงถึงเรื่องราวของพระคริสต์ พระสาวก ความเชื่ออันนี้มีผลต่อทัศนศิลป์ ดังนี้
สถาปัตยกรรม เช่น โบสถ์สมัยกอธิค เป็นสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะสูงชลูด และส่วนที่สูงที่สุดของโบสถ์จะเป็นที่ตั้งของกางเขนอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อจะเป็นที่ติดต่อกับพระเจ้าบนสรวงสวรรค์ มีการแต่งเพลงและร้องกันอยู่ในโบสถ์ Notre Dame อยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นแบบกอธิค โบสถ์แบบนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดให้ถ่ายแบบแล้วนำมาสร้างไว้ที่วัดนิเวศธรรมประวัติ บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
จิตรกรรม ก็แสดงเนื้อหาของคริสต์ศาสนา รวมไปถึงทัศนศิลป์แขนงอื่นๆ ด้วย
          2. ศิลปะไบเซนไทร์ (Bizentine)
ยุคแรกแห่งศิลปะเพื่อคริสต์ศาสนา เมื่ออาณาจักรโรมันล่มสลายลง แยกเป็นประเทศต่างๆอยู่ในยุโรปปัจจุบัน และเป็นช่วงของคำสอนของศาสนาคริสต์ ได้รับความเชื่อถือเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในสมัยไบเซนไทร์ ซึ่งถือว่าเป็นอาณาจักรแห่งแรกของคริสต์ศาสนาศิลปินและช่างทุกสาขาทำงานให้แก่ศาสนา หรือทำงานเพื่อส่งเสริมความศรัทธาแห่งคริสต์
สถาปัตยกรรม สร้างโบสถ์ วิหาร เพื่อเป็นสัญลักษณ์ และสถานที่ปฏิบัติพิธีกรรมต่างๆ
ประติมากรรม มีการแกะสลักรูปพระคริสต์และสาวกด้วยไม้ และหิน จิตรกรรมเป็นภาพเขียนประดับหินสีที่เรียกว่าโมเสก
         3. ฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissanee)
แนวคิดทางความงามของกรีกและโรมันกลับมาเกิดใหม่หรือฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ต่อเนื่องจากอาณาจักรไบเซนไทร์ เป็นยุคของฟื้นฟูศิลปวิทยา หมายถึง การนำกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากได้มีการค้นพบซากเมืองของพวกกรีกและโรมันทำให้ศิลปินหันกลับมานิยมความงามตามแนวคิดของกรีกและโรมันอีกครั้งหนึ่ง


















 
 
 




















































































รายวิชา คณิตศาสตร์ (พค 31001)

ระบบจำนวนจริงhttp://youtu.be/WoE7gAyrspQ              

 จำนวนจริง_ตอนที่1_สมบัติของจำนวนจริง   http://youtu.be/aa7uvrSMKWw


จำนวนจริง_ตอนที่2_การแยกตัวประกอบ http://youtu.be/DD18Jl0ZW9k   

                           
จำนวนจริง_ตอนที่3_ทฤษฎีบทตัวประกอบhttp://youtu.be/Pasld3X20LU


จำนวนจริง_ตอนที่4_สมการพหุนามhttp://youtu.be/RmWxGJv6Meg


จำนวนจริง_ตอนที่5_อสมการhttp://youtu.be/WvesNxZQoD8


เลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนตรรกยะ   http://youtu.be/4HRkjbSIYqs


แบบฝึกหัด ให้ทดลองทำ  http://www.myfirstbrain.com/Student2_5.aspx?page=2&PageSize=20&BrowseSub3=&BrowseSub4=1709&txtSearch=


  ลองเข้าไปเลือกทำดูนะคะ น่าจะมีประโยชน์กับการสอบของเราแน่นอน


        ใบความรู้ที่ ๗
                  ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) AEC คืออะไร
อาเซียนให้ความสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจร่วมกันอย่าง ต่อเนื่อง หลังจากการดำเนินการไปสู่การจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟตา (ASEAN Free Trade Area: AFTA) ได้บรรลุเป้าหมายในปี 2546 ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 8 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2545 ได้เห็นชอบให้อาเซียนกำหนดทิศทางการดำเนินงานเพื่อมุ่งไปสู่การเป็นประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (European Economic Community: EEC) และให้อาเซียนปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานภายในของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น ในการประชุมสุดยอดอาเซียนในปี 2546 ผู้นำอาเซียนได้ออกแถลงการณ์ Bali Concord IIเห็นชอบให้มีการรวมตัวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ภายในปี 2563 และให้เร่งรัดการรวมกลุ่มเพื่อเปิดเสรีสินค้าและบริการสำคัญ 11 สาขา (priority sectors) ได้แก่ การท่องเที่ยว การบินยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ไม้ ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตร ประมง เทคโนโลยีสารสนเทศและสุขภาพ
เป้าหมายของ AEC
อาเซียนจะรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ภายในปี 2563 (ค.ศ.2020) โดยมีแนวคิดว่าอาเซียนจะกลายเป็นเขตการผลิตเดียว ตลาดเดียว หรือ Single market and production base นั่นหมายถึงจะต้องมีการเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิตได้อย่างเสรี สามารถดำเนินกระบวนการผลิตที่ไหนก็ได้ โดยสามารถใช้ทรัพยากรจากแต่ละประเทศ ทั้งวัตถุดิบและแรงงานมาร่วมในการผลิต มีมาตรฐานสินค้า กฎเกณฑ์กฎระเบียบเดียวกัน
แนวทางดำเนินงานเพื่อนำไปสู่การเป็น AEC
การจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นเป้าหมายที่ท้าทายสำหรับไทยในอีก 8 ปีข้างหน้า ซึ่งไทยจำเป็นต้องเร่งดำเนินการและเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ทั้งนี้ การดำเนินงานเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ที่ผ่านมา 15 ปี ถือว่าประสบผลสำเร็จพอสมควร เห็นได้จากปริมาณการค้าภายในอาเซียนที่ขยายตัวมากขึ้น อย่างไรก็ดี ในด้านการลงทุนยังไม่บรรลุผล เนื่องจากปริมาณการลงทุนทั้งจากภายในและภายนอกอาเซียนยังอยู่ในระดับต่ำ มากนอกจากนี้ ประเทศจีนและอินเดียเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในภูมิภาค และเป็นแหล่งดึงดูดในด้านเศรษฐกิจสำคัญ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอาเซียนแต่ละประเทศ ที่มีเศรษฐกิจเล็กมาก จึงมีความจำเป็นที่อาเซียนจะต้องเร่งดำเนินการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจภายใน เพื่อไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในลักษณะเดียวกับ EU โดยจะต้องจัดทำแผนงานและดำเนินการตามอย่างเคร่งครัด และจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก ความจำเป็นที่อาเซียนต้องเร่งรัดการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจภายใน ก็เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับอาเซียนเอง และเพื่อสร้างให้อาเซียนเป็นศูนย์กลางภายในภูมิภาค คานอำนาจของประเทศอื่นๆ ภายในภูมิภาคที่มีบทบาทโดดเด่นอย่างเช่น จีน และอินเดีย ทั้งนี้ อาเซียนได้ตกลงที่จะเปิดเสรีด้านการค้าสินค้าและการค้าบริการให้เร็วขึ้น กว่ากำหนดการเดิม ในสาขาสินค้าและบริการสำคัญ 11 สาขา เพื่อเป็นการนำร่อง และส่งเสริมการ outsourcing หรือการผลิตสินค้า โดยใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนที่ผลิตภายในอาเซียนซึ่งเป็นไปตามแผนการดำเนินการ เพื่อมุ่งไปสู่การเป็น AEC และได้มอบหมายให้ประเทศต่างๆ ทำหน้าที่รับผิดชอบเป็นผู้ประสานงานหลัก (Country Coordinators) ดังนี้ พม่า สาขาผลิตภัณฑ์เกษตร (Agro-based products) และสาขาประมง (Fisheries) มาเลเซีย สาขาผลิตภัณฑ์ยาง (Rubber-based products) และสาขาสิ่งทอ(Textiles and Apparels) อินโดนีเซีย สาขายานยนต์ (Automotives) และสาขาผลิตภัณฑ์ไม้ (Wood-based products) ฟิลิปปินส์ สาขาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics) สิงคโปร์ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ (e-ASEAN) และสาขาสุขภาพ (Healthcare) ไทย สาขาการท่องเที่ยว (Tourism) และสาขาการบิน (Air Travel) AEC Blueprint ที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ได้เห็นชอบและมอบหมายให้ที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส (SEOM) จัดทำพิมพ์เขียว AEC Blueprint เพื่อเป็น แผนงานภาพรวมที่จะระบุกิจกรรมด้านเศรษฐกิจครอบคลุมทั้งสินค้า/บริการ การลงทุน แรงงาน และเงินลงทุนที่จะเปิดเสรีมากขึ้นในอนาคต เหตุผลที่อาเซียนต้องจัดทำ AEC Blueprint ก็เพื่อจะกำหนดทิศทาง แผนงานในด้านเศรษฐกิจที่ต้องดำเนินงานให้ชัดเจนตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดจน กว่าจะบรรลุเป้าหมายและเพื่อสร้าง "พันธสัญญา" ระหว่างประเทศสมาชิกที่จะดำเนินการไปสู่เป้าหมายดังกล่าวร่วมกัน เพราะการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคขนาดใหญ่ ได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการปรับตัวของอาเซียน ซึ่งมักจะมีความแตกต่างในด้านต่างๆ อันนำไปสู่ปัญหาความแตกแยก ไม่ลงรอยกัน

                                                    ใบความรู้ที่ ๘
   ประวัติความเป็นมา ความสำคัญ วัตถุประสงค์และประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการเข้าร่วม AFTA
      เขตการค้าเสรีอาเซียน ( ASEAN Free Trade Area: AFTA) หรือเรียกว่า อาฟตา เป็น ข้อตกลงทางการค้าของอาเซียน (ASEAN) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีวัตถุดิบ มีผลผลิตทางการเกษตรอย่างอุดมสมบูรณ์ และมีสินค้าอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับที่ผลิตได้ในส่วนต่างๆ ของโลก ทั้งยังเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพทางการซื้อสูง
      ประวัติความเป็นมา
       จากการประชุมผู้นำอาเซียน ณ ประเทศสิงคโปร์ เมื่อ พ.ศ.2535 อันประกอบด้วย ไทย บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ได้ตกลงที่จะขายสินค้าระหว่างกันอย่างเสรี (ยกเว้นสินค้าเกษตร)เพื่อส่งเสริมความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สมาชิก โดยตั้งเป้าหมายที่จะลดอัตราภาษีศุลกากรระหว่างกันให้เหลือร้อยละ 0-5 ภายใน พ.ศ.2546 ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมพ.ศ. 2536 เป็นต้นไป เรียกข้อตกลงทางการค้าของกลุ่มอาเซียนนี้ว่าเขตการค้าเสรีอาเซียนสาเหตุสำคัญของการก่อตั้ง AFTA คือ ประเทศต่างๆ เกือบทั่วโลกต่างค้าขายและขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ประกอบกับการที่สหภาพโซเวียตล่มสลายลง ทำให้หลายประเทศต่างหวาดหวั่นว่า การลงทุนจากต่างประเทศจะหลั่งไหลไปยังยุโรปตะวันออกและสาธารณรัฐที่แยกตัว ออกมาจากสหภาพโซเวียต ไม่มาลงทุนในประเทศของตน จะทำให้ประสบกับภาวะฝืดเคืองและเศรษฐกิจถดถอย จึงหาทางที่จะร่วมมือกันทางด้านเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด กลุ่มแรก คือ ประชาคมยุโรปได้ตกลงที่จะรวมตัวกันเป็นตลาดเดียวภายใน พ.ศ.2535 และใช้มาตรการทางการค้า เพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของกลุ่ม เช่น การกำหนดอัตราภาษีศุลกากรใหม่ การกำหนดมาตรฐานสินค้านำเข้าการจำกัดโควต้าสินค้านำเข้า เป็นต้น มาตรการเหล่านี้ทำให้กลุ่มอาเซียนเห็นว่าจะเป็นสาเหตุทำให้สินค้าของตนขาย ได้น้อยลง จึงร่วมมือกันจัดตั้งเขตการค้าเสรีขึ้นในรูปที่คล้ายคลึงกัน
วัตถุประสงค์ในการก่อตั้ง
1. เพื่อให้การขายสินค้าภายในอาเซียนเป็นไปโดยเสรีมีอัตราภาษีต่ำและปราศจากข้อจำกัดทางการค้า
2. เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้มาลงทุนในอาเซียน
3. เพื่อจะได้มีอำนาจต่อรอง และเป็นเวทีแสดงความคิดเห็น หากได้รับความกดดัน หรือถูกเอารัดเอาเปรียบทางการค้าจากประเทศอื่นๆ

ผลการปฏิบัติงาน
AFTA ได้ดำเนินการลดภาษีสินค้าระหว่างประเทศที่มีแหล่งกำเนิดในอาเซียน ดังนี้
1. สินค้าลดปกติ กำหนดให้ลดอัตราภาษีศุลกากรระหว่างกัน เหลือร้อยละ 0.5 ภายใน 10 ปีคือ ภายในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2546 ยกเว้นสมาชิกใหม่ของอาเซียน คือ เวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา ให้เลื่อนเวลาสิ้นสุดการลดภาษีออกไป
2. สินค้าเร่งลดภาษี ประกอบด้วยสินค้า 15 สาขา ได้แก่ ปูนซีเมนต์ ปุ๋ย ผลิตภัณฑ์หนัง
เยื่อกระดาษ สิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ไม้และหวาย น้ำมันพืชเคมีภัณฑ์ พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์เซรามิกและแก้ว เภสัชภัณฑ์ และแคโทดที่ทำจากทองแดง กำหนดให้ลดอัตราภาษีศุลกากรเหลือร้อยละ 0-5 ภายใน 7 ปี คือสิ้นสุดวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2543
3. สินค้าที่เริ่มลดภาษีช้ากว่าสินค้าอื่นๆ ได้แก่ สินค้าเกษตรไม่สำเร็จรูป เริ่มลดภาษีภายในพ.ศ.2544-2546 และลดเหลือร้อยละ 0-5 ภายใน พ.ศ. 2553 ยกเว้นสินค้าบางชนิด เช่น ข้าวและน้ำตาลไม่ต้องลดเหลือร้อยละ 0-5 แต่ให้ลดตามอัตราที่ตกลงกัน
ประโยชน์ของ AFTA ต่อไทย
1. ประโยชน์ต่อผู้ผลิต
1.1 กระตุ้นให้มีการปรับโครงสร้างการผลิตในประเทศทั้งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
1.2 ยกระดับความสามารถทางการผลิต
1.3 ผู้ผลิตสามารถนำเข้าวัตถุดิบที่ถูกลง และลดต้นทุนการผลิต
1.4 ผู้ผลิตสินค้าของไทย สามารถที่จะใช้ประโยชน์จาก Supply Chain ในอาเซียน เช่นการใช้วัตถุดิบ หรือสินค้ากึ่งสำเร็จรูปจากประเทศอาเซียนอื่นๆ หรืออาจโยกย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอาเซียนอื่นๆ หรือเลือกใช้ปัจจัยการผลิตที่มีความได้เปรียบสูงสุดจากประเทศอาเซียนอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ เช่น
- กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม มีจุดเด่นในด้านทรัพยากรธรรมชาติ วัตถุดิบ และแรงงาน
- สิงคโปร์ มาเลเซีย มีจุดเด่นในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
- อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นฐานการผลิต เป็นต้น
2. ประโยชน์ต่อผู้ส่งออก ผู้นำเข้า
2.1 ตลาดสินค้ากว้างขึ้น สามารถรักษาตลาดเดิม เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และขยายตลาดใหม่ เช่น จีน อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
2.2 เป็นประตูการค้าสู่ภูมิภาคใกล้เคียง
2.3 ผู้ส่งออกสามารถขยายการค้าและบริการ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันจากภาษีนำเข้าของประเทศคู่เจรจาที่ลดลง
2.4 สร้างพันธมิตร เพิ่มอำนาจการต่อรอง
2.5 ขยายการส่งออกและโอกาสทางการค้า เมื่ออุปสรรคภาษีและมิใช่ภาษีระหว่างอาเซียนถูกยกเลิกไป จะเปิดโอกาสให้สินค้าเคลื่อนย้ายเสรี ไทยจะมีโอกาสที่ขยายการส่งออกไปยังอาเซียนได้มากขึ้น
3. ประโยชน์ต่อผู้บริโภค
3.1 ผู้บริโภคซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกลง เลือกซื้อสินค้าได้หลากหลายมากขึ้น
3.2 ผู้บริโภคได้รับความคุ้มครองจากข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกันของอาเซียน
4. ประโยชน์ต่อเกษตรกร
4.1 สามารถส่งสินค้าเกษตรออกไปขายได้มากขึ้น เนื่องจากภาษีสินค้าเกษตร เป็น 0
4.2 สามารถขยายตลาดสินค้าเกษตรไปยังประเทศนอกกลุ่มได้ และมีอำนาจในการต่อรองที่สูงขึ้นการเตรียมการของภาครัฐรองรับการเปิดเสรียก เลิกโควต้าภาครัฐได้จัดเตรียมแนวทางการใช้มาตรการอื่นๆ ที่ไม่ขัดต่อพันธกรณีภายใต้ AFTA ควบคู่ไปกับการยกเลิกโควต้า โดยอาศัยข้อยกเว้นทั่วไปของความตกลงที่อนุญาตให้ประเทศสมาชิกสามารถบังคับ ใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องชีวิต หรือสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ และพืช เช่น
- มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS)
- การกำหนดมาตรฐานสินค้า
- ช่องทางและเวลานำเข้าที่เหมาะสม

                                                       ใบความรู้ที่ ๙
                               ประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการเข้าร่วมกลุ่มอาเซียน
          ตั้งแต่ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South-East Asian Nations : ASEAN) ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2510 เป็นต้นมา ไทยได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมในหลายๆ ด้าน ซึ่งเป็นผลมาจากการรวมกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวที ระหว่างประเทศ และช่วยให้เสียงของอาเซียนมีน้ำหนัก เพราะการที่สมาชิกทั้ง 10 ประเทศมีท่าทีเป็นหนึ่งเดียวในเวทีระหว่างประเทศ จะทำให้ประเทศและกลุ่มความร่วมมืออื่นๆ ให้ความเชื่อถือในอาเซียนมากขึ้น ท้ายที่สุดแล้วประโยชน์ก็จะตกอยู่ที่ประชาชนในประเทศนั้น ๆ เช่น
1. การเพิ่มการจ้างงานและแก้ไขปัญหาความยากจนในภูมิภาคแม้ว่าการกระตุ้นการเติบ โตทางเศรษฐกิจ การเพิ่มการจ้างงานและการลดปัญหาความยากจน เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลแต่ละประเทศเป็นหลัก แต่ความร่วมมือหลายด้านของอาเซียนก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยแก้ไขปัญหาดัง กล่าวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการพัฒนาเศรษฐกิจรวมถึงความเป็นอยู่ของประชาชน ในภาพรวม นอกจากนี้ อาเซียนยังได้วางรากฐานสำหรับการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเพื่อสร้างตลาด ขนาดใหญ่ที่จะทำให้อาเซียนมีความน่าสนใจและดึงดูดการลงทุนได้เพิ่มขึ้น
2. การส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนจัดการประชุมด้านการท่องเที่ยว (ASEAN Tourism Forum-ATF หรือ เอทีเอฟ)เป็นประจำทุกปีในเดือนมกราคม โดยหมุนเวียนกันจัดในประเทศสมาชิก ซึ่งเป็นหนึ่งในการประชุมด้านการท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จ มากที่สุดในโลกในระหว่างการประชุม หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน อาทิ โรงแรม รีสอร์ท สายการบินและผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว จะมีโอกาสทำความรู้จักและเจรจาทางธุรกิจกับบริษัทนำเที่ยว ผู้ประกอบธุรกิจด้านท่องเที่ยวอื่นๆ รวมถึงนักเขียนด้านการท่องเที่ยวอีกด้วยประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมมือกันเพื่อ การส่งเสริมการท่องเที่ยว และยังมีโครงการจัดทำรายการโทรทัศน์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวในอาเซียน เพื่อเผยแพร่ ในปี 2545 อาเซียนได้จัดทำความตกลงด้านการท่องเที่ยว เพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเปิดเสรีด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและส่ง เสริมการท่องเที่ยวร่วมกันในภูมิภาค รวมถึงร่วมมือกันในการเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวอาเซียน นอกจากนี้ อาเซียนยังได้ริเริ่มความร่วมมือในการจัดทำความตกลงการตรวจลงตราเพียงครั้ง เดียว (Single Visa) แต่ใช้เดินทางเข้าได้หลายประเทศในลักษณะเดียวกับ Schengen Visa ของยุโรป ซึ่งนำร่องโดยไทยและกัมพูชา
3. การส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในภูมิภาคอาเซียนมีความร่วมมือเรื่องสิ่ง แวดล้อมระหว่างกันหลายด้าน ตัวอย่างหนึ่งของความร่วมมือที่เห็นได้ชัดเจนคือ การแก้ปัญหาหมอกควันซึ่งมีสาเหตุจากไฟป่าและไฟบนดินผ่านกรอบความร่วมมือ เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบของปัญหาหมอกควันข้ามแดน โดยมีการจัดตั้งศูนย์อุตุนิยมวิทยาเฉพาะทางอาเซียนที่สิงคโปร์ เพื่อกำหนดตัวชี้วัดคุณภาพอากาศและระบบการวัดปัญหาอันตรายของไฟ นอกจากนี้ เพื่อตอบสนองต่อปัญหาไฟป่า ในปี 2540-2541 อาเซียนจึงรับรองแผนปฏิบัติการแก้ปัญหามลพิษในภูมิภาคซึ่งเป็นการรวมมาตรการ ต่างๆ ในการป้องกันไฟป่า ไฟบนดินและการบรรเทาผลกระทบ การศึกษาและการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นโดยในปี 2545 มีการจัดทำความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษหมอกควันข้ามแดน ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อปี 2546 ไม่เพียงเท่านั้น อาเซียนยังมีความร่วมมือเพื่ออนุรักษ์มรดกทางธรรมชาติของอาเซียนโดยกำหนด พื้นที่ 27 แห่งให้เป็นพื้นที่คุ้มครองในฐานะมรดกทางธรรมชาติของอาเซียน มีโครงการบริหารการจัดการทรัพยากรน้ำ จัดตั้งศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพอาเซียน และโครงการฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมและระบบนิเวศ รวมทั้งเห็นชอบร่วมกันเรื่องการกำหนดเกณฑ์คุณภาพน้ำทะเล ตลอดจนรับรองแผนปฏิบัติงานเรื่องสิ่งแวดล้อมศึกษาและการสร้างความตระหนักรู้ ให้กับสาธารณชนในเรื่องสิ่งแวดล้อมทั้งนี้ไทยยังได้ประโยชน์จากการกระชับ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอาเซียนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน หมอกควันข้ามแดนและการจัดการทรัพยากรน้ำ
4. การป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อในภูมิภาคการรับมือวิกฤตการณ์โรคซาร์สใน ปี 2546 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในอาเซียน ทั้งยังส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจของหลายประเทศ คือตัวอย่างที่ชัดเจนของความร่วมมือในอาเซียนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ โรคติดต่อในภูมิภาค โดยร่วมมือกับประเทศอื่นๆ และองค์การอนามัยโลกไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมผู้นำอาเซียนสมัยพิเศษร่วม กับผู้นำจีนที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2546 เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือกันเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส ซึ่งนำไปสู่ความร่วมมือในการตรวจสอบและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค เจตนารมณ์อันแน่วแน่ของแต่ละประเทศที่เห็นความสำคัญของการร่วมมือกันช่วยให้ การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อมาเมื่อมีการแพร่ระบาดของไข้หวัด นก อาเซียนก็ได้ร่วมมือกับประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาดำเนินมาตรการเพื่อ ป้องกันการแพร่ระบาด มีการจัดตั้งคลังวัคซีนทั้งในประเทศและประเทศสมาชิกอื่นๆ เช่น สิงคโปร์และได้ร่วมกันเตรียมอุปกรณ์ป้องกันสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอา เซียนยังให้การรับรองแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านโรคเอดส์และมีเว็บไซต์ เพื่อติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของโรคติดต่อด้วย
5. การแก้ปัญหาการก่อการร้ายสากล อาชญากรรมข้ามชาติ และการแก้ปัญหายาเสพติดอาเซียนประณามการก่อการร้ายทุกรูปแบบและมีความร่วม มือกันอย่างใกล้ชิดทั้งในอาเซียนและประเทศอื่นๆ เพื่อต่อสู้กับปัญหาการก่อการร้ายข้ามชาติ และต่อต้านการระดมเงินทุนของกลุ่มเหล่านี้ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 12 เมื่อเดือนมกราคม 2550 ผู้นำอาเซียนได้ลงนาม ในอนุสัญญาต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งวางมาตรการความร่วมมือระหว่างกันในการต่อต้านการก่อการร้ายและยังได้จัด ทำสนธิสัญญาพหุภาคี ว่าด้วยความช่วยเหลือทางอาญาซึ่งกันและกัน เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับความร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรม ข้ามชาติ ซึ่งกำหนดรายละเอียดของโครงการต่างๆ ที่ประเทศสมาชิกต้องดำเนินเพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้อีกด้วยสำหรับความร่วม มือด้านยาเสพติด อาเซียนมีการจัดประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านยาเสพติด ตั้งแต่ปี 2527 ซึ่งถือเป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกัน มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมและส่งเสริมความตระหนักรู้ในเรื่องการบังคับใช้ กฎหมาย การให้ความรู้เพื่อป้องกันปัญหายาเสพติด รวมถึงการรักษาและการฟื้นฟู ทั้งยังมีความร่วมมือกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชา ชาติอีกด้วย
6. การจัดการกรณีเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติการจัดประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัย พิเศษ เพื่อการให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยในพม่าอันเกิดจากการพายุไซ โคลนนาร์กีสเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความร่วมมือในอาเซียน กรณีที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งนำไปสู่การส่งมอบความช่วยเหลือให้กับพม่าโดยมีอาเซียนเป็นแกนนำการจัด ส่งทีมแพทย์จากอาเซียนไปช่วยผู้ประสบภัย และการจัดประชุมประเทศผู้บริจาคซึ่งอาเซียนมีบทบาทนำร่วมกับสหประชาชาติที่ กรุงย่างกุ้งของพม่า ซึ่งสามารถระดมความช่วยเหลือให้กับพม่าเพื่อการฟื้นฟูประเทศต่อไปทั้งนี้อา เซียนยังมีกลไกเพื่อรับมือกับภัยพิบัติผ่านคณะกรรมการอาเซียนด้านการจัดการ ภัยพิบัติ ซึ่งจัดทำแผนปฏิบัติการฝึกอบรม การสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนสร้างความตระหนักรู้ในสาธารณชนสมาชิกอาเซียนยังลงนามความตกลงว่าด้วย การจัดการภัยพิบัติและการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อเดือนกรกฎาคม 2548 เพื่อส่งเสริมความร่วมมือให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อให้ความช่วยเหลือด้าน มนุษยธรรม (AHA Center) ขึ้นที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานระหว่างประเทศสมาชิกกับองค์กรระหว่างประเทศที่เป็น พันธมิตรของอาเซียนในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ
7. การส่งเสริมและปกป้องสิทธิสตรีแม้ว่าโดยทั่วไปสถานะของสตรีในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้มีความเท่าเทียมกับบุรุษแต่อาเซียนก็ไม่ต่างจากภูมิภาค อื่นๆ ที่มีสตรีจำนวนมากต้องตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง การทำร้ายร่างกายและขบวนการค้าประเวณีในปี 2547 รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนได้ลงนามแถลงการณ์อาเซียนว่าด้วยการจัดการใช้ความ รุนแรงต่อสตรีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN Declaration on the Elimination of Violence Against Women in the ASEAN Region) ซึ่งแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่ารัฐบาลของประเทศสมาชิกต่อต้านการใช้ความรุนแรงต่อ สตรี
8. การส่งเสริมให้เยาวชนในภูมิภาคมีความใกล้ชิดกันมากขึ้นอาเซียนเห็นว่าเยาวชน คืออนาคตของอาเซียน และเป็นกำลังสำคัญของการสร้างประชาคมอาเซียน จึงพยายามส่งเสริมให้เยาวชนมีความใกล้ชิดและรู้จักกันมากขึ้น ผ่านความร่วมมือในหลายสาขา มีการจัดค่ายเยาวชนอาเซียนและกิจกรรมสันทนาการอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บางประเทศสมาชิกก็ให้ทุนการศึกษากับนักเรียนจากประเทศอาเซียนอื่นๆ เช่น สิงคโปร์จัดตั้งกองทุนเยาวชนอาเซียนเพื่อให้การสนับสนุนการทำกิจกรรมร่วมกัน สำหรับเยาวชนอาเซียนนอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2517 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้การสนับสนุนโครงการเรือเยาวชนโดยเชิญเยาวชน กว่า 300 คน จากประเทศสมาชิกอาเซียนและญี่ปุ่นให้เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าวเป็น ประจำทุกปี เรือเยาวชนจะแวะเทียบที่ท่าเรือของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และญี่ปุ่นซึ่งมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมมิตรภาพในหมู่เยาวชนของเอเชีย

ขอขอบคุณข้อมูลความรู้ดีๆ จาก  Katesarin Yanode  


8 ธันวาคม 56











































































รายวิชา ภาษาไทย ระดับชั้น ม ต้น 

การอ่านจับใจความ

ความหมายของการอ่านจับใจความสำคัญ

คือ การอ่านเพื่อจับใจความหรือข้อคิด ความคิดสำคัญหลักของข้อความ หรือเรื่องที่อ่าน เป็นข้อความที่คลุมข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ไว้ทั้งหมด

ใจความสำคัญ หมายถึง ใจความที่สำคัญ และเด่นที่สุดในย่อหน้า เป็นแก่นของย่อหน้าที่สามารถครอบคลุมเนื้อความในประโยคอื่นๆ ในย่อหน้านั้นหรือประโยคที่สามารถเป็นหัวเรื่องของย่อหน้านั้นได้ ถ้าตัดเนื้อความของประโยคอื่นออกหมด หรือสามารถเป็นใจความหรือประโยคเดี่ยวๆ ได้ โดยไม่ต้องมีประโยคอื่นประกอบ ซึ่งในแต่ละย่อหน้าจะมีประโยคในความสำคัญเพียงประโยคเดียว หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ประโยค

ใจความรอง หรือพลความ(พน-ละ-ความ) หมายถึง ใจความ หรือประโยคที่ขยายความประโยคใจความสำคัญ เป็นใจความสนับสนุนใจความสำคัญให้ชัดเจนขึ้น อาจเป็นการอธิบายให้รายละเอียด ให้คำจำกัดความ ยกตัวอย่าง เปรียบเทียบ หรือแสดงเหตุผลอย่างถี่ถ้วน เพื่อสนับสนุนความคิด ส่วนที่มิใช่ใจความสำคัญ และมิใช่ใจความรอง แต่ช่วยขยายความให้มากขึ้น คือ รายละเอียด

หลักการจับใจความสำคัญ

๑. ตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านให้ชัดเจน

๒. อ่านเรื่องราวอย่างคร่าวๆ พอเข้าใจ และเก็บใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้า

๓. เมื่ออ่านจบให้ตั้งคำถามตนเองว่า เรื่องที่อ่าน มีใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร

๔. นำสิ่งที่สรุปได้มาเรียบเรียงใจความสำคัญใหม่ด้วยสำนวนของตนเองเพื่อให้เกิดความสละสลวย

วิธีจับใจความสำคัญ

วิธีการจับใจความมีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับความชอบว่าอย่างไร เช่น การขีดเส้นใต้ การใช้สีต่างๆ กัน แสดงความสำคัญมากน้อยของข้อความ การบันทึกย่อเป็นส่วนหนึ่งของการอ่านจับใจความสำคัญที่ดี แต่ผู้ที่ย่อควรย่อด้วยสำนวนภาษาและสำนวนของตนเองไม่ควรย่อด้วยการตัดเอาข้อความสำคัญมาเรียงต่อกัน เพราะอาจทำให้ผู้อ่านพลาดสาระสำคัญบางตอนไปอันเป็นเหตุให้การตีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้ วิธีจับใจความสำคัญมีหลักดังนี้

๑. พิจารณาทีละย่อหน้า หาประโยคใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้า

๒. ตัดส่วนที่เป็นรายละเอียดออกได้ เช่น ตัวอย่าง สำนวนโวหาร อุปมาอุปไมย(การเปรียบเทียบ) ตัวเลข สถิติ ตลอดจนคำถามหรือคำพูดของผู้เขียนซึ่งเป็นส่วนขยายใจความสำคัญ

๓. สรุปใจความสำคัญด้วยสำนวนภาษาของตนเอง

การพิจารณาตำแหน่งใจความสำคัญ

ใจความสำคัญของข้อความในแต่ละย่อหน้าจะปรากฏดังนี้

๑. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนต้นของย่อหน้า

๒. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนกลางของย่อหน้า

๓. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนท้ายของย่อหน้า

๔. ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนต้นและตอนท้ายของย่อหน้า

๕. ผู้อ่านสรุปขึ้นเอง จากการอ่านทั้งย่อหน้า(ในกรณีใจความสำคัญหรือความคิดสำคัญอาจอยู่รวมในความคิดย่อย ๆ โดยไม่มีความคิดที่เป็นประโยคหลัก)

การวิเคราะห์เรื่อง 


มื่อผู้พูดจะไปยังที่ใดที่หนึ่งก็ตาม โดยรู้หัวข้อที่จะพูดแล้ว ขั้นตอนในการตระเตรียมไปพูดนั้นอาจแบ่งเป็นขั้นตอนใหญ่ๆ 2 ขั้นตอนคือ การวิเคราะห์ผู้ฟังและกาลเทศะ และการตระเตรียมเรื่องพูด
1. การวิเคราะห์ผู้ฟังและกาลเทศะ (The Audience)
เมื่อผู้พูดหัวข้อเรื่องที่จะพูดแล้วก็ควรจะวิเคราะห์ผู้ฟังและกาลเทศะ ควรรู้ว่าผู้ฟังคือใครมีพื้นฐานการศึกษาเพียงใด อายุเท่าไร เพศชายหรือหญิง มีอาชีพอะไร มีจำนวนเท่าไร จะพูดที่ใด มีเวลาพูดเท่าไร ทั้งนี้จะได้ตระเตรียมเรื่องให้เหมาะกับผู้ฟังเพราะการพูดชนิดเดียวกันอาจเหมาะสำหรับผู้ฟังกลุ่มหนึ่งแต่อาจไม่เหมาะกับผู้ฟังอีกกลุ่มหนึ่ง ฉะนั้นการวิเคราะห์ผู้ฟังจึงเป็นการศึกษาถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและเปรียบได้ว่าผู้พูดได้รู้จักฟังก่อน
1) วัยของผู้ฟัง ผู้ฟังที่มีวัยต่างกันย่อมจะมีความสนใจและเข้าใจเรื่องที่ฟังต่างกัน การเรียนรู้ถึงอายุ ก็เพื่อจะได้ทราบว่า การพูดกับคนในวัยนั้นๆควรจะใช้วิธีการพูดและคำพูดอย่างไร วัยเด็ก เด็กมีลักษณะซุกซน ไม่อยู่นิ่งเฉย ไม่มีความอดทนฟังเรื่องได้นานๆ เบื่อง่ายชอบเรื่องสนุกสนาน ตลกขบขันชอบเล่น ฯลฯ เนื่องจากเด็กมีประสบการณ์ความรู้และความสนใจน้อย ดังนั้นถ้าจะพูดให้เด็กฟังหรือเขียนเรื่องให้เด็กอ่าน จึงควรจะเลือกเรื่องที่สนุกสนาน แฝงด้วยมุขตลกหรือเรื่องที่ให้ความบันเทิงเพลิดเพลินหรือเรื่องจินตนาการ
วัยรุ่น วัยรุ่นเป็นวัยที่อยู่ในระหว่างความเป็นเด็กและผู้ใหญ่ ยังไม่บรรลุวุฒิภาวะยังไม่มีการรับผิดชอบในเรื่องใดๆ และยังไม่เข้าใจในเหตุการณ์บางอย่างเพราะไม่มีประสบการณ์เพียงพอ แต่เด็กวัยรุ่นเป็นวัยที่อยากทดลองกับสิ่งใหม่ๆ (modernity) ชอบชีวิตที่ตื่นเต้น เรื่องที่ครึกครื้น เรื่องที่เกี่ยวกับโลกในอนาคต เรื่องที่เป็นแบบฉบับในการสร้างความก้าวหน้า ชีวิตที่ต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรค เรื่องที่เกี่ยวกับความกล้าหาญความภาคภูมิใจ และการนำชื่อเสียงมาสู่ตนเองและวงศ์ตระกูล ตลอดจนประเทศชาติ ฉะนั้นการเตรียมเรื่องพูดกับเด็กวัยรุ่นจึงควรมีจุดมุ่งหมายที่มุ่งในเหตุการณ์ที่ทันสมัย แนวทางที่น่าทดลองน่ากระทำตาม การยอมรับความคิดเห็นและความสามารถของวัยรุ่นอย่างเป็นมิตร การเต็มใจที่จะให้ความช่วยเหลือ
วัยกลางคน วัยกลางคนนี้เป็นวัยที่เริ่มจากอายุ 45 ปีขึ้นไป เป็นวัยที่มีความรับผิดชอบกำลังสร้างฐานะและมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่อาชีพ การงานและชื่อเสียง เป็นวัยที่มุ่งมั่นในความประพฤติและอุดมคติของตนเอง รักความก้าวหน้า ความคิดอ่านกว้างขวาง และมีประสบการณ์พอสมควร เรื่องที่ควรนำมาพูดควรเกี่ยวกับ การครองชีพ มนุษยสัมพันธ์ กฎหมาย ความก้าวหน้าในชีวิต แนวการศึกษาของเยาวชน สังคมและความเป็นอยู่ อนาคตของเยาวชน ฯลฯ
วัยชรา คนวัยชราเป็นผู้ที่ผ่านประสบการณ์มากชอบยึดถือสิ่งที่เป็นที่พึ่งทางจิตใจ เช่น คุณธรรม เป็นผู้ที่ชอบคิด และมุ่งหวังที่จะเห็นความเจริญก้าวหน้าของครอบครัว
วงศ์ตระกูล จึงควรเลือกเรื่องเกี่ยวกับธรรมะหรือเรื่องที่แฝงไว้ด้วยคุณธรรม เรื่องธรรมชาติความจำในอดีต สังคมในอดีตที่คนวัยชรามีส่วนสร้างสรรค์หรือเกี่ยวข้อง ฯลฯ ส่วนการจัดเรื่องนั้นควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย พูดยกย่องความสามารถ ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล และควรจะพูดในทำนองผู้ปรับทุกข์

2) เพศของผู้ฟัง ความสนใจของผู้ฟังนั้นย่อมขึ้นอยู่กับเพศเหมือนกัน ผู้พูดควรตระเตรียมเรื่องให้ เหมาะสมกับเพศของผู้ฟังดังนี้ เพศหญิง เพศหญิงมักสนใจในเรื่องความสวยความงาม การบ้านการเรือน การสมาคม การแต่งกาย การเสริมสร้างบุคลิกภาพ ความเคลื่อนไหวของสังคม ความบันเทิง ฯลฯ
เพศชาย เพศชายมักสนใจในเรื่องการเมือง การงาน สวัสดิภาพของครอบครัว การกีฬา เครื่องยนต์กลไก ฯลฯ เมื่อจะพูดให้เพศชายฟัง ผู้พูดควรตระเตรียมเรื่องให้พร้อม เนื้อเรื่องและคำพูดที่ใช้นั้นควรมีเหตุผลหนักแน่น น่าเชื่อถือ เพราะผู้ชายเป็นเพศที่จะถูกชักจูงโน้มน้าวจิตใจได้ยากกว่าเพศหญิง และเมื่อจะพูดให้เพศหญิงฟัง ผู้พูดควรนำคำที่สุภาพ อ่อนหวานมาใช้ เพราะเพศหญิงเป็นเพศที่อารมณ์ละเอียด อ่อนไหวง่าย
3) ความแตกต่างทางความเชื่อถือและศาสนา เป็นที่ทราบกันว่าเชื้อชาติ ศาสนา จารีตประเพณี และความเชื่อถือเป็นวัฒนธรรม อย่างหนึ่งที่คนเรายึดถือกันมาแต่ดั้งเดิม ซึ่งความเชื่อถือและหลักปฏิบัติทางศาสนาบางอย่างก็เป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผล แต่คนในสังคมบางกลุ่มก็ยังยึดมั่นและปฏิบัติสืบต่อกันมา ฉะนั้นผู้พูดจึงควรศึกษาและระมัดระวังในเรื่องนี้ ควรจะทราบว่าผู้ฟังส่วนใหญ่ถือศาสนาใด ยึดมั่นแนวปฏิบัติอย่างไร เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงและไม่กล่าวถึง

4) ฐานะและอาชีพของผู้ฟัง (Class Audiences) การเรียนรู้อาชีพ ฐานะ หรือชั้น ของผู้ฟังมาก่อนย่อมเป็นผลกำไรของผู้พูด เพราะผู้ที่ต่างอาชีพกันย่อมมีความสนใจต่างกัน เมื่อผู้พูดรู้ว่าผู้ฟังเป็นคนชั้นใด จะได้สามารถตระเตรียมเนื้อหาตลอดจนวิธีการพูดได้ถูกต้อง ฐานะหรือชั้น ของผู้ฟังอาจแบ่งออกได้ดังนี้
1) ชนชั้นกลาง (The middiences ) คนชนชั้นกลางส่วนใหญ่ประกอบด้วยคนที่มีอาชีพการงานเป็นของตนเองเช่น พ่อค้า นักธุรกิจและผู้ที่รับราชการในขั้น “หัวหน้า” คนชั้นกลางเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์มากพอสมควรมีใจคอกว้างขวาง มีความอดทนมีความเชื่อมั่นในตนเอง พร้อมที่จะฟังข้อคิดเห็นเกี่ยวกับความเจริญก้าวหน้าในอาชีพตน เรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย การปรับปรุงความเป็นอยู่ บุคลิกภาพ สิทธิพิเศษ ผู้พูดควรเตรียมเรื่องเศรษฐกิจการลง
2) ชนชั้นกรรมาชีพ (The Working Class) คนในชนชั้นนี้ได้แก่ ผู้ที่ใช้แรงงาน ซึ่งได้แก่กรรมกร ผู้รับจ้าง ลูกจ้างแรงงานฯลฯ คนในชนชั้นกรรมาชีพนี้เป็นผู้ที่มีความฉลาดพอสมควร (แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนสูง) เป็นผู้ที่ใฝ่ใจในการทำมาหาเลี้ยงชีพ สนใจในการเมือง เศรษฐกิจ แสวงหาความยุติธรรม รักพวกพ้อง และเกลียดการดูถูกเหยียดหยาม ฉะนั้นผู้พูดจึงควรเตรียมเรื่องด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายให้ความเป็นกันเอง หลีกเลี่ยงการพูดดูถูกเหยียดหยาม แต่ควรพูดในทำนองให้คำปรึกษา ให้ความเห็นใจ และให้ผู้ฟังเกิดความภาคภูมิใจในอาชีพของตน
3) ผู้ฟังที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ (The Expert Audience) ถ้าผู้ฟังเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญผู้พูดจะต้องตระเตรียมเรื่องที่พูดให้พร้อมและให้ดียิ่ง เนื้อเรื่องที่ค้นคว้ามาพูดนั้นจะต้องมีข้อมูล ข้อเท็จจริงอ้างอิง สนับสนุน และเนื้อเรื่องที่จะนำไปพูดนั้นควรให้ผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญในสาขาวิชานั้น ๆ ตรวจดูก่อน
4) ผู้ฟังเรื่องทางการเมือง (The Political Audience) ถ้าผู้พูดจะต้องเตรียมเรื่องพูดในแนวการเมือง ผู้พูดควรเตรียมตัวล่วงหน้าว่าผู้ฟังส่วนหนึ่งจะเป็นมิตรและอีกส่วนหนึ่งจะคอยคัดค้าน ผู้พูดจะต้องเตรียมเนื้อเรื่องที่มีหลักฐานเหตุผลข้อเท็จจริงอ้างอิงได้ ข้อความต่างๆที่นำมาอ้าง หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องพาดพิงกับเหตุการณ์จะต้องแน่นอน
5) ระดับการศึกษา ผู้พูดควรพิจารณาว่าผู้ฟังมีระดับการศึกษามากน้อยเพียงไร ถ้าผู้ฟังเป็นผู้มีการ
ศึกษาน้อย ผู้พูดจะต้องเตรียมเรื่องด้วยภาษาง่ายๆ เนื้อหาสั้นกระทัดรัด แต่ถ้าผู้ฟังเป็นผู้มีการศึกษาสูง ผู้พูดจะต้องใช้คำพูดที่มีเหตุผล มีแนวโน้มในด้านวิชาการ
6) สถานที่ การรู้ถึงสถานที่ที่จะพูดนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้พูด ควรจะทราบล่วงหน้าเพื่อจะได้
ตระเตรียมเนื้อเรื่องและการแต่งกายได้ถูกต้องและเหมาะสม
7) เวลา เวลาเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้การพูดประสบความสำเร็จหรือไม่ เช่น การพูดใน
เวลากลางวัน หรือหลังจากอาหารกลางวันแล้วอากาศมักร้อนอบอ้าว ผู้ฟังอาจนั่งฟังไม่สบายเท่าที่ควรผู้พูดต้องเตรียมเรื่องพูดให้รวบรัดได้ใจความ ส่วนการพูดใกล้กับเวลาอาหารกลางวันหรือเวลาอาหารเย็นก็ไม่เหมาะ นอกจากนี้ผู้พูดควรทราบล่วงหน้าว่าตนมีเวลาพูดมากน้อยเพียงไร เพราะจะได้เตรียมเรื่องมาพูดให้พอเหมาะกับเวลา
8) โอกาส การพูดในแต่ละโอกาสย่อมไม่เหมือนกัน เช่น การพูดให้ความรู้แก่นักเรียน
นักศึกษา ย่อมแตกต่างไปจากพูดอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิด การใช้ภาษาท่าทาง ตลอดจนการแต่งกายก็เปลี่ยนไป ดังนั้นผู้พูดควรรู้ล่วงหน้าก่อนว่าตนจะพูดในโอกาสอะไร เพื่อจะได้เตรียมเนื้อเรื่องและเตรียมตัวไปพูดได้ถูกต้องและเหมาะสม
 การพูดสุนทรพจน์ 
การพูดสุนทรพจน์ เป็นการพูดที่มีลักษณะของการใช้ถ้อยคำภาษาที่งดงามสละสลวย เป็นการพูดในโอกาสสำคัญ ที่มุ่งให้ความรู้และแสดงความคิดเห็น และถือเป็นการพูดในที่ชุมนุมชน ผู้กล่าวสุนทรพจน์มักจะเป็นบุคคลสำคัญหรือเป็นผู้มีอาวุโสในที่นั้น เช่น อาจารย์ใหญ่ ประธานสมาคม ถึงแม้ว่าในวัยนักเรียนอาจจะไม่ค่อยมีโอกาสที่จะได้กล่าวสุนทรพจน์บ่อยครั้งนักก็ตาม แต่นักเรียนก็ควรจะได้ฝึกหัดเพื่อเตรียมความพร้อม หรือเพื่อเป็นหลักในการฟังสุนทรพจน์ของบุคคลผู้มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพศรัทธา
ก่อนอื่นนักเรียนจะต้องเรียบเรียงบทพูดสุนทรพจน์โดยการเลือกใช้ถ้อยคำที่ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาสหรือกาลเทศะ แล้วเลือกถ้อยคำประโยคหรือข้อความที่ไพเราะ สละสลวย คมคาย เพื่อความประทับใจผู้ฟัง และควรแทรกความคิดเห็นที่เป็นคติเตือนใจด้วย
ในกล่าวสุนทรพจน์ เรามักใช้วิธีการพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ ทั้งนี้เพื่อความถูกต้องแม่นยำ แต่ก็ควรระมัดระวังว่าให้เป็นทำนองของการพูดมิใช่การอ่าน และผู้พูดต้องฝึกซ้อมให้ดีก่อนการพูดจริง จึงจะทำให้การพูดการอ่านต้นฉบับนั้นราบรื่นไม่ติดขัด และน่าสนใจ ไม่ฟังเป็นเสียงอ่านจนมากเกินไป ขณะเดียวกันท่าทางการพูดสุนทรพจน์โดยอ่านจากต้นฉบับนั้น เราควรเงยหน้าดูผู้ฟังเป็นระยะๆ ด้วย เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจ และแสดงถึงบุคคลิกที่สง่างาม

รายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษาต่อ  ( พต22005 )
สาระสำคัญ
มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคติเกี่ยวกับ ภาษาท่าทาง การฟัง การพูด อ่าน เขียน ภาษาต่างประเทศ ด้วย ประโยคที่ซับซ้อนในชีวิตประจำวัน และงานอาชีพของตน ได้ถูกต้องตามหลักภาษาวัฒนธรรมและกาลเทศะของเจ้าของภาษา


ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง

อ่านและเขียนคำศัพท์ อ่านกราฟ การ์ตูน ตาราง สัญลักษณ์ สถิติ ดัชนี สารบัญ และการทำข้อสอบ แบบเว้นช่องว่างอย่างมีระบบ อ่านข่าว ร้องเพลง และอ่านโคลง 

ตลอดจนการใช้พจนานุกรมในการตรวจคำผิด


โครงสร้างทางภาษา ( Structure )

ชนิดของคำ ( Parts of speech ) ได้แก่

1. คำนาม ( Nouns )   หมายถึง   คำที่ใช้เรียกชื่อ คน , สัตว์ , สิ่งของ และสถานที่

2. คำสรรพนาม ( Pronouns )   หมายถึง คำที่ใช้แทนคำนาม

3. คำกริยา ( Verbs )   หมายถึง คำที่ใช้บ่งบอกการแสดงของภาคประธาน

4. คำคุณศัพท์ ( Adjectives )   หมายถึง   คำที่ใช้ขยายคำนาม

5. คำกริยาวิเศษณ์ ( Adverbs )   หมายถึง   คำที่ใช้ขยายคำกริยา , คำคุณศัพท์ หรือ คำกริยาวิเศษณ์ด้วยกันเอง

6. คำบุพบท ( Prepositions )   หมายถึง คำที่ใช้บอกตำแหน่ง , เชื่อมวลี



คำนาม ( Nouns )

คำนาม คือ คำที่ใช้เรียกชื่อ คน , สัตว์ , สิ่งของ และสถานที่
ประเภทของคำนาม โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถแบ่งประเภทของคำนามได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ วิสามานยนาม , สามานยนาม , และสมุหนาม ดังจะอธิบายต่อไปนี้
วิสามานยนาม ( Proper Noun )   หมายถึง คำที่เป็นชื่อเฉพาะของ คน , สัตว์ , สิ่งของ และ สถานที่ โดยทั่วไปคำเหล่านี้มักขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ และจะไม่มีการผันพจน์ ได้แก่ ชื่อบุคคล อาทิ Chawin Varnabhumi , ชื่อตำแหน่ง ,
หรือชื่อสถานที่ อาทิ Bangkok , Thailand เป็นต้น

สามานยนาม หรือคำนามทั่วไป ( Common Noun )   หมายถึง   คำทั่วไปที่ใช้เรียกชื่อ คน , สัตว์ , สิ่งของ และสถานที่ โดยมิได้เป็นชื่อเฉพาะ เช่น a man, a cat, a pen, a lavatory เป็นต้น เราสามารถแบ่งสามานยนามออกเป็น 2 กลุ่มย่อยๆ
คือ นามที่นับได้ และนามที่นับไม่ได้
- นามที่นับได้ ( Countable Noun ) หมายถึง   นามที่เราสามารถแยกออกเป็นตัวๆ เป็นชิ้นๆ ได้ด้วย สายตา เช่น  a boy, a girl, a cat, a lavatory เป็นต้น เหล่านี้จัดเป็นกลุ่มนามที่สามารถทำให้เป็น พหูพจน์ได้
เช่น boys, girls, a cat, a lavatory เป็นต้น ( หากเป็นเอกพจน์ก็ต้องอยู่ตามหลังคำนำหน้า  นาม )

- นามที่นับไม่ได้ ( Uncountable Noun )   หมายถึง   นามที่เราไม่สามารถแยกออกเป็นตัวๆ เป็นชิ้นได้ เช่น water หรือหากแยกได้ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เช่น rice ทั้งนี้รวมทั้งอาการนามต่อด้วย โดยทั่วไป
แล้ว คำเหล่านี้จะจัดเป็นเอกพจน์ อย่างไรก็ดีเราไม่ควรด่วนสรุปว่ากลุ่มคำนามที่นับไม่ได้นี้จะมีรูปแบบเป็น เอกพจน์เท่านั้น เพราะอาจเป็นไปได้ทั้ง 2 แบบ และวิธีที่จะทราบได้ก็คือการตรวจสอบจากพจนานุกรม ภาษาอังกฤษ


สมุหนาม  หรือนามบอกหมวดหมู่ ( Collective Noun )  หมายถึง   นามที่บ่งบอกถึงหมวดหมู่ของสิ่ง ต่างๆ จัดเป็นนามที่มีรูปแบบเอกพจน์คงเดิม แต่นัยทางความหมายเมื่อใช้ในประโยค เป็นไปได้ทั้งนัยเอกพจน์
และนัยพหูพจน์ คำนามเหล่านี้ ได้แก่ army , class , family , group , crew , crowd , committee , family , government , jury , staff , audience เป็นต้น อย่างไรก็ดี คำ เหล่านี้ก็อาจใช้ในรูปพหูพจน์ได้ในบางกรณี
เช่น A reading group of my faculty is cancelled.
A group of students are having a meal at the main canteen.
Many groups of students are having a meal at the main cantee.


การทำคำนามนับได้ให้เป็นพหูพจน์
ในภาษาไทย คน สัตว์ สิ่งของ จำนวนมากกว่า 1 เราจะกล่าวว่า ผู้ชาย 2 คน สุนัข 3 ตัว หนังสือ 4 เล่ม
ไม่มีการเปลี่ยนรูปหรือเพิ่มพยัญชนะต่อท้ายคำนาม  ผู้ชาย  สุนัข  หนังสือ  แต่ในภาษาอังกฤษเมื่อเรากล่าวถึงคำนามนับได้ คน สัตว์ สิ่งของ มีจำนวนเท่ากับ 1 เราเรียกว่าคำนามนับได้เอกพจน์ ( Singular ) ส่วนคำนามนับได้
จำนวนมาก 1 เราเรียกว่าคำนามพหูพจน์ ( Plural ) และรูปแบบจะเป็น  two men   three dogs   four   watches   จะเห็นว่าเมื่อคำนามนับได้มีจำนวนมากกว่า 1 จำต้องทำให้คำนามนับได้เหล่านั้นมีรูปเป็นพหูพจน์ด้วย
ดังนั้น เราจะต้องรู้จักวิธีการทำให้คำนามเหล่านั้นมีรูปเป็นพหูพจน์

การเปลี่ยนคำนามนับได้เอกพจน์ ( Singular ) ให้เป็นคำนามนับได้พหูพจน์ ( Plural )


ยังมีต่อนะคะ


คำอธิบายรายวิชา กรุงเทพศึกษา                สค  23026              จำนวน  3  หน่วยกิต
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
มาตรฐานการเรียนรู้
          มาตรฐานที่ 5.1 มีความรู้ ความเข้าใจ ตระหนักถึงความสำคัญเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง สามารถนำมาปรับใช้ในการดำรงชีวิต
มาตรฐานที่ 5.2 มีความรู้ ความเข้าใจ  เห็นคุณค่าสืบทอดศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
1.       มีความรู้ ความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของกรุงเทพมหานคร ในฐานะเมืองหลวง ของประเทศไทย ตลอดจนเข้าใจวิธีการศึกษาประวัติความเป็นมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน
2.       มีความรู้ ความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของบุคคลสำคัญที่สร้างกรุงเทพมหานครให้เป็นนครแห่งความสุข
3.        มีความรู้ ความเข้าใจในโครงสร้างการบริหารงานของกรุงเทพมหานคร
4.       มีความรู้ ความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของศาสนา ต่าง ๆ สามารถนำหลักธรรมมาใช้ในการดำเนินชีวิต  ได้อย่างมีความสุข
5.       มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพมรดกทางวัฒนธรรม ความเจริญรุ่งเรืองในวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่นของกรุงเทพมหานครจากอดีตจนถึงปัจจุบัน สร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทย

ศึกษาและฝึกทักษะเกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้
1.       ศึกษาความสำคัญของกรุงเทพมหานคร และศึกษาประวัติการตั้งถิ่นฐาน ณ ปัจจุบัน
2.       ศึกษาประวัติบุคคลสำคัญ มีคุณประโยชน์ต่อกรุงเทพมหานคร
3.       มีความรู้  ความเข้าใจในโครงสร้างการบริหารงานของกรุงเทพมหานคร
4.       ศึกษาและวิเคราะห์ความสำคัญของศาสนาต่าง ๆ รวมถึงการรู้จักนำหลักธรรมมาใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข
5.       มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพมรดกทางวัฒนธรรม  ความเจริญรุ่งเรืองในวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่นของกรุงเทพมหานครจากอดีตถึงปัจจุบัน สร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทย





การจัดประสบการณ์เรียนรู้
1.       จัดกลุ่มอภิปรายในเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
2.       จัดทำโครงการนิทรรศการฐานความรู้
3.       ศึกษาจากเอกสารและสื่อทุกประเภทที่เกี่ยวข้อง เว็บไซต์ของกรุงเทพมหานคร  (www.bangkok.go.th)
4.       เชิญปราชญ์ชาวบ้าน  ผู้รู้  ผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา  ความสำคัญมรดกทางธรรมชาติ  ศาสนา  วัฒนธรรม  แหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญา
5.       ศึกษาดูงานและเรียนรู้จากสถานที่จริง
6.       ศึกษาจากใบความรู้
7.       ศึกษาจากเอกสารประกอบการเรียนการสอน
8.       ศึกษาจากสื่อวีดีทัศน์
9.       การทำใบงาน
10.   ใบกิจกรรม
11.   การทำแบบทดสอบ
12.   การแลกเปลี่ยนเรียนรู้

การวัดและประเมินผล
1.       การสังเกตพฤติกรรมระหว่างการเรียนรู้
2.       การซักถามนักศึกษา
3.       วัดความรู้จากการทำใบงาน  รายงาน  แบบทดสอบและแบบบันทึกการเรียนรู้
4.       การวัดผลสัมฤทธิ์ปลายภาค




คำอธิบายรายวิชา  กรุงเทพศึกษา  รหัส    23026   . 
สาระการพัฒนาสังคม   ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
จำนวน  3  หน่วยกิต  (120  ชั่วโมง)
มาตรฐานการเรียนรู้
          มาตรฐานที่ 5.1 มีความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนำมาปรับใช้ในการดำรงชีวิต
ที่
หัวเรื่อง
ตัวชี้วัด
เนื้อหา
เวลา (ชั่วโมง)
1
จากอดีตสู่เมืองศิวิไลซ์
1. อธิบายการตั้งถิ่นฐานและความสัมพันธ์ของบางกอกในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้

2. อธิบายการตั้งถิ่นฐานและความสำคัญของบางกอกสมัยกรุงธนบุรีได้

3. อธิบายประวัติศาสตร์ของกรุงเทพมหานคร    ตอนต้นได้
4. อธิบายพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของ
กรุงเทพมหานครสมัยใหม่ ได้
5.อธิบายประวัติของกรุงเทพมหานครสมัยประชาธิปไตยได้
6.อธิบายการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมได้
7. อธิบายวิวัฒนาการทางการปกครองของกรุงเทพมหานครได้


8. อธิบายโครงสร้างการบริหารงานของกรุงเทพมหานคร ได้

1. ประวัติการตั้งถิ่นฐานและความสัมพันธ์ของบางกอกในสมัยกรุงศรีอยุธยา
2.  ประวัติการตั้งถิ่นฐานและความสัมพันธ์ของบางกอกในสมัยกรุงธนบุรี
3.ประวัติของกรุงเทพมหานครตอนต้น   (พ.ศ. 2325-2394)
4. ประวัติของกรุงเทพมหานครสมัยใหม่(พ.ศ. 2394-2475)
5. ประวัติของกรุงเทพมหานคร สมัยประชาธิปไตย (พ.ศ. 2475-ปัจจุบัน)
6.การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
7.การปกครองของกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่การเข้าสู่การเป็นเทศบาล การรวมจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี

8. โครงสร้างการบริหารงานของกรุงเทพมหานคร

40
มาตรฐานที่ 5.2 มีความรู้ ความเข้าใจ  เห็นคุณค่าและสืบทอดศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข


ที่
หัวเรื่อง
ตัวชี้วัด
เนื้อหา
เวลา (ชั่วโมง)
2
มหานครแห่งความสุข
1.อธิบายเป็นมาของแต่ละศาสนาในกรุงเทพมหานครได้
2. อธิบายหลักธรรมของแต่ละศาสนาได้ และปฏิบัติตนตามหลักธรรมสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
3.อธิบายรูปแบบการจัดการศึกษาในกรุงเทพมหานครและความสำคัญของการศึกษาที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของตนได้
4.อธิบายการมีสุขภาพอนามัยที่ดีและปฏิบัติตนให้เป็นคนที่มีสุขภาพอนามัยดีได้

1.ศาสนาในกรุงเทพมหานคร

2. หลักธรรมคำสั่งสอนของแต่ละศาสนาในกรุงเทพมหานคร


3.รูปแบบการจัดการศึกษาในกรุงเทพมหานคร


4.การดูแลสุขภาพอนามัยการใช้ชีวิตในเมืองหลวงให้มีความสุข
วิถีชีวิตของความสุขให้เมืองหลวง


40


การเขียนเรียงความ
การเขียนเรียงความ เป็นการนำถ้อยคำมาผูกประโยค แล้วเรียบเรียงเป็นเรื่องราวเพื่อเเสดงความรู้ ความเข้าใจ ความคิดเห็น และความรู้สึกของผู้เขียน ให้ผู้อื่นเข้าใจเรื่องราวที่เขียน ด้วยสำนวนภาษาที่สละสลวย
หลักการเขียนเรียงความ
๑.  เขียนชื่อเรื่องไว้กึ่งกลางหน้ากระดาษ
๒.  เขียนด้วยลายมือที่ชัดเจนอ่านง่าย และถูกต้องตามหลักการเขียน
๓.  ไม่เขียนชิดริมกระดาษ หรือเขียนตกขอบกระดาษ ควรเว้นว่างหนากระดาษทั้งด้านซ้ายและด้านขวาพองาม รวมทั้งไม่เขียนฉีกคำ
๔.  วางโครงเรื่องเพื่อลำดับเรื่องราวให้เป็นไปตามลำดับก่อนและหลัง
๕.  ควรแบ่งเป็นย่อหน้าคำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป โดยในส่วนของเนื้อเรื่องอาจมีย่อหน้าหลายย่อหน้าได้ และควรเขียนย่อหน้าให้ตรงกัน
๖.  ชื่อเรื่องและเนื้อเรื่องต้องสัมพันธ์กัน
๗.  เนื้อเรื่องต้องประกอบด้วยข้อมูลที่เป็นจริง ผู้เขียนจึงควรค้นคว้าเรื่องที่จะเขียน
รูปแบบของเรียงความ
แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ดังนี้
๑.  คำนำ อยู่ส่วนเเรกของเรียงความ มีความยาวพอประมาณ ใช้เเสดงความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียนต่อหัวข้อเรื่อง บางเรื่องก็ขึ้นคำนำโดยใช้อธิบายคำจำกัดความหัวข้อ
๒.  เนื้อเรื่อง เป็นย่อหน้าถัดจากคำนำ ส่วนของเนื้อเรื่องควรมีประมาณ ๒-๔ ย่อหน้า ต้องบรรยายชัดเจน ยกตัวอย่างให้เห็นจริง อ้างอิงให้ข้อความมีน้ำหนัก
๓.  สรุป เป็นย่อหน้าสุดท้ายของเรียงความ ควรมีเพียงย่อหน้าเดียว และไม่ต้องเขียนคำสรุป บางครั้งอาจจบลงด้วยคำคม หรือสุภาษิตที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง
การใช้ภาษาในเรียงความ
แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้ภาษาในเรียงความมี ๕ ประการ ดังนี้
๑.  สังเกตภาษา เช่น การใช้คำที่สื่อความหมายชัดเจน เหมาะสม
      -  ถ้าเราใช้เวลาจนคุ้มค่า ก็ไม่ต้องเสียดายโอกาสที่ผ่านไป
      -  การมองโลกในแง่ดี ย่อมทำให้จิตใจผ่องใส
๒.  เลือกใช้คำที่เหมาะสม ใช้คำศัพท์ที่ถูกต้องและเรียบง่าย อ่านเเล้วเข้าใจทำให้เห็นภาพ
     ๒.๑ คำที่เรียบง่าย เช่น ผมชอบอากาศทางเหนือที่หนาวเย็น
     ๒.๒ คำพยางค์เดียวและคำซ้อน เช่น เธอเขียนคำตอบผิด
     ๒.๓ คำที่ให้เห็นภาพและได้ยินเสียง เช่น \"เป็ดตัวเเรกลงน้ำก่อน ไซ้ปีกไซ้ขน ขณะที่ตัวอื่นๆ ตามลงมาดูเบา และลอยฟ่อง เหมือนร่างกายไม่มีน้ำหนัก\" (จากเรื่อง สวนสัตว์ ของ สุวรรณี สุคนธา)
๓.  คิดให้เเจ่มเเจ้ง ควรใช้ความคิดในเรื่องที่จะเขียนให้กระจ่าง เพื่อใช้เป็นโครงเรื่อง และคิดหาถ้อยคำมาใช้สื่อความหมาย จนกว่าจะจบเรื่อง
๔.  แต่งประโยคสั้น เป็นวิธีการที่ดีในการเขียนเรียงความ ในการแต่งประโยคไม่ความใช้คำซ้ำๆ ในที่ใกล้ๆ กัน ควรเปลี่ยนใช้คำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกัน เช่น
       แม่ซื้อกระเป๋า ประเป๋าสีดำ กระเป๋าใบนี้ทำจากหนังงู เป็น แม่ซื้อกระเป๋าสีดำ ซึ่งทำจากหนังงู
       \"สุนทรภู่ ได้ชื่อว่าเป็นกวีเเห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ สุนทรภู่ได้รับการยกย่องให้เป็นกวีเอกของโลก\" เป็น
       \"สุนทรภู่ ได้ชื่อว่าเป็นกวีเเห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ท่านได้รับการยกย่องให้เป็นกวีเอกของโลก\"
๕.  สัมพันธ์เรื่องราว ควรคำนึงถึงการทำให้เรื่องที่เขียนมีเนื้อหาสาระที่สัมพันธ์กันตามโครงเรื่อง โดยย่อหน้าทั้งหมดต้องมีเรื่องราวสัมพันธ์ต่อเนื่องกันจนกว่าจะจบเรื่อง
       ผู้เขียนเรียงความต้องใช้คำในการสื่อความหมายให้ชัดเจน อ่านเเล้วเขาใจทำให้เห็นภาพ ควรใช้คำที่ถูกต้องและเรียบง่าย การเขียนเรียงความมีข้อควรระวัง  คือ ไม่ควรใช้คำซ้ำๆ ในที่ใกล้ๆ กัน ควรเปลี่ยนใช้คำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกัน และเรียบเรียงเนื้อหาสาระให้สัมพันธ์ตามโครงเรื่อง ข้อความเเต่ละย่อหน้าให้มีความต่อเนื่องกันจนจบ และอาจลงท้ายด้วยคำคม หรือสุภาษิตก็ได้
ที่มาและได้รับอนุญาตจาก :
เอกรินทร์ สี่มหาศาล และคณะ. ภาษาไทย ป.๖. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์.


เรียงความคือ การนำเอาคำมาประกอบแต่งเป็นเรื่องราวอาจใช้วิธีการเขียนหรือการพูด ก็ได้ การเขียน จดหมาย รายงาน ตอบคำถาม ข่าว บทความ ฯลฯ อาศัยเรียงความเป็นพื้นฐาน ทั้งนั้น ดังนั้น การเขียนเรียงความจึงมีความสำคัญ ช่วยให้พูดหรือเขียนในรูปแบบต่าง ๆ ได้ดี นอกจากนี้ก่อนเรียงเขียนความเราต้องค้นคว้า รวบรวมความรู้ ความคิด และนำมาจัดเป็นระเบียบ จึงเท่ากับเป็นการฝึกสิ่งเหล่านี้ให้กับตนเองได้อย่างดีอีกด้วย
องค์ประกอบของเรียงความ
          เรียงความเรื่องหนึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญ๓ ส่วน คือ ส่วนนำ ส่วนเนื้อเรื่องและส่วนท้ายหรือสรุปส่วนนำเรื่องจะเป็นส่วนที่แสดงประเด็นหลักหรือจุดประสงค์ของเรื่องส่วนเนื้อเรื่องเป็นส่วนขยายโครงเรื่องที่วางเอาไว้ส่วนนี้จะประกอบด้วยย่อหน้าหลายย่อหน้าส่วนท้ายของเรื่องจะเป็นการเน้นย้ำประเด็นหลักหรือจุดประสงค์
          ๑. การเขียนส่วนนำ  ดังได้กล่าวแล้วว่าส่วนนำเป็นส่วนที่แสดงประเด็นหลักหรือจุดประสงค์ของเรื่องดังนั้นส่วนนำจึงเป็นการบอกผู้อ่านถึงเนื้อหาที่นำเสนอและยังเป็นการเร้าความสนใจให้อยากอ่าน เรื่องจนจบ การเขียนส่วนนำเพื่อเร้าความสนใจนั้นมีหลายวิธีแล้วแต่ผู้เขียนจะเลือกตามความเหมาะสม อาจนำด้วยปัญหาเร่งด่วนหรือหัวข้อที่กำลังเป็นเรื่องที่น่าสนใจ คำถาม การเล่าเรื่องที่จะเขียนการยกคำพูด ข้อความ หรือสุภาษิตที่น่าสนใจ บทร้อยกรองการอธิบายความเป็นมาของเรื่อง การบอกจุดประสงค์ของการเขียนการให้คำจำกัดความ ของคำสำคัญของเรื่องที่จะเขียน  แรงบันดาลใจ ฯลฯดังตัวอย่าง เช่น
          ๑.๑นำด้วยปัญหาเร่งด่วน หรือหัวข้อที่กำลังเป็นเรื่องที่น่าสนใจเช่น เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน จะพบกลุ่มสนทนากลุ่มย่อย ๆวิสัชนากันด้วยเรื่อง วิสามัญฆาตกรรม” ในคดียาเสพติดบ้างก็ว่าเป็นความชอบธรรม บ้างก็ว่ารุนแรงเกินเหตุ หลายคนจึงตั้งคำถามว่าถ้าไม่ทำวิสามัญฆาตกรรมกรณียาเสพติด แล้วจะใช้วิธีการชอบธรรมอันใดที่จะล้างบางผู้ค้าหรือผู้บ่อนทำลายเหล่านี้ลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว
          ๑.๒นำด้วยคำถามเช่น ถ้าถามหนุ่มสาวทั้งหลายว่า อยากสวย” “อยากหล่อหรือไง” คำตอบที่ได้คงจะเป็น
คำตอบเดียวกันว่า อยาก” จากนั้นก็คงมีคำถามต่อไปว่าแล้วทำอย่างไรจึงจะสวยจะหล่อ ได้สมใจในเมื่อธรรมชาติของหลาย ๆคนก็มิได้สวยได้หล่อมาแต่ดั้งเดิม จะต้องพึ่งพา เครื่องสำอางหรือการศัลยกรรมหรือไร แล้วจะสวยหล่อแบบธรรมชาติได้หรือไม่ ถ้าได้จะทำอย่างไร
          ๑.๓นำด้วยการเล่าเรื่องที่จะเขียนเช่นงานมหกรรมหนังสือนานาชาติจัดขึ้นเป็นประจำในวันพุธแรกของเดือนตุลาคมของทุกปีที่เมืองแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๔๕ นี้นับเป็นครั้งที่ ๕๓
          ๑.๔นำด้วยการยกคำพูด ข้อความ สุภาษิตที่น่าสนใจ เช่น ในอดีตเมื่อกล่าวถึงครู หรือค้นหาคุณค่าของครูหลายคนคงนึกถึงความเปรียบทั้งหลายที่มักได้ยินจนชินหูไม่ว่าจะเป็นความเปรียบที่ว่า ครูคือเรือจ้าง” “ครูคือปูชนียบุคคล” หรือ
ครูคือผู้ให้แสงสว่างทางปัญญา” ฯลฯความเปรียบเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงคุณค่า ความเสียสละและการเป็นนักพัฒนาของครู ในขณะที่ปัจจุบันทัศนคติในการมองครูเปลี่ยนไปหลายคนมองว่าครูเป็นแค่ผู้ที่มีอาชีพรับจ้างสอนหนังสือเท่านั้นเพราะครูสมัยนี้ไม่ได้อบรมความประพฤติให้แก่ผู้เรียนควบคู่ไปกับการให้ความรู้ไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีที่จะเรียกว่า แม่พิมพ์ของชาติ” อาชีพครูเป็นอาชีพที่ตกต่ำและดูต้อยต่ำในสายตาของคนทั่วไป ทั้ง ๆที่อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ต้องทำหน้าที่ในการพัฒนาคนที่จะไปเป็นกำลังสำคัญของการพัฒนาประเทศชาติต่อไปจึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการทบทวนบทบาทหน้าที่คุณธรรมและอุดมการณ์ของความเป็นครูกันเสียที
          ๑.๕นำด้วยบทร้อยกรองเช่น
          “ความรักเหมือนโรคา           บันดาลตาให้มืดมน
      ไม่ยินและไม่ยล                       อุปสรรคคะใดใด
      ความรักเหมือนโคถึก                กำลังคึกผิขังไว้
      ก็จะโลดจากคอกไป                  บ่ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
      ถ้าหากปล่อยไว้                       ก็ดึงไปด้วยกำลัง
     ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง                        บ่หวนคิดถึงเจ็บกาย
           (จากบทละครเรื่อง มัทนพาธา” ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)
          ความรักเป็นอารมณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์มีทั้งประโยชน์และเป็นโทษในเวลาเดียวกันความรักที่อยู่บนพื้นฐานของความบริสุทธิ์ จริงใจและความมีเหตุผลย่อมนำพาผู้เป็นเจ้าของความรักไปในทางที่ถูกที่ควรแต่ถ้าความรักนั้นเป็นเพียงอารมณ์อันเกิดจากความหลงใหลในรูปกายภายนอกความชื่นชมตามกระแสและความหลงผิด ความรักก็จะก่อให้เกิดโทษจึงมีผู้เปรียบเปรยว่า ความรักทำให้คนตาบอด” ด้วยบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในเรื่องมัทนพาธา ซึ่งได้แสดงให้เห็นภาพของความลุ่มหลงอันเกิดจากความรักและทุกข์สาหัสอันเกิดจากความรักได้เป็นอย่างดีสมกับชื่อเรื่องว่า มัทนพาธาที่แปลว่า ความบาดเจ็บแห่งความรัก
          ๑.๖นำด้วยการอธิบายความเป็นมาของเรื่องเช่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วข้าพเจ้าได้ไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพของผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านเป็นอดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือศพของท่านได้รับการบรรจุไว้ในโกศศพพระราชทานเห็นดังนั้นแล้วทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเมื่อครั้งยังเป็นเด็กข้าพเจ้าจำได้ว่าตอนข้าพเจ้าไปเผาศพคุณตา คุณยายที่บ้านสวนจังหวัดสมุทรสงคราม ศพของท่านทั้งสองก็ได้รับการบรรจุไว้ในโกศเช่นกันซึ่งท่านทั้งสองก็เป็นพลเรือนธรรมดา ๆ ไม่ได้เป็นข้าราชการผู้ใหญ่เรื่องนี้คงมีหลายคนสงสัยว่าทำไมพลเรือนธรรมดา ๆ ถึงมีโกศใส่ศพกับเขาด้วยดังนั้นเพื่อทำความกระจ่างแก่เยาวชนและผู้สนใจในปัจจุบันนี้อาจจะไม่เคยเห็นศพชาวบ้านที่บรรจุในโกศข้าพเจ้าจึงได้ค้นคว้าเรื่องนี้มาเพื่อเป็นความรู้แก่ผู้สนใจทั่วไป
          ๑.๗นำด้วยการบอกจุดประสงค์ของการเขียนเช่น สามก๊กที่ผู้อ่านทั้งในประเทศจีนและในประเทศไทยรู้จักกันดีนั้นเป็นนวนิยายส่วนสามก๊กที่เป็นประวัติศาสตร์ มีคนรู้น้อยมากแม้คนจีนแผ่นดินใหญ่ที่ได้เรียนจบ ขั้นอุดมศึกษามาแล้ว ก็มีน้อยคน(น้อยมาก) ที่รู้พอสมควร บทความเรื่องนี้จึงขอเริ่มต้นจาก สามก๊กที่เป็นประวัติศาสตร์
         ๒. การเขียนส่วนเนื้อเรื่อง  เนื้อเรื่องเป็นส่วนสำคัญที่สุดของเรียงความเพราะเป็นส่วนที่ต้องแสดงความรู้ ความคิดเห็นให้ผู้อ่านทราบตามโครงเรื่องที่วางไว้ เนื้อเรื่องที่ต้องแสดงออกถึงความรู้ความคิดเห็นอย่างชัดแจ้งมีรายละเอียดที่เป็นข้อเท็จจริงและมีการอธิบายอย่างเป็นลำดับขั้นมีการหยิบยกอุทาหรณ์ ตัวอย่าง ทฤษฎี สถิติ คำกล่าว หลักปรัชญา หรือสุภาษิตคำพังเพย ฯลฯ สนับสนุนความรู้ความคิดเห็นนั้นเนื้อเรื่องประกอบด้วยย่อหน้าต่าง ๆ หลายย่อหน้าตามสาระสำคัญที่ต้องการกล่าวถึงเปรียบกันว่าเนื้อเรื่องเหมือนส่วนลำตัวของคนที่ประกอบด้วย อวัยวะต่าง ๆแต่รวมกันแล้วเป็นตัวบุคคล ดังนั้นการเขียนเนื้อเรื่องถึงจะแตกแยกย่อยออกไปอย่างไร จะต้องรักษาสาระสำคัญใหญ่ของเรื่องไว้  การแตกแยกย่อยเป็นไปเพื่อประกอบให้สาระสำคัญใหญ่ของเรื่องซึ่งเปรียบเหมือนตัวคน สมบูรณ์ในแต่ละย่อหน้า ประกอบด้วยส่วนที่เป็นเนื้อหา คือความรู้หรือความคิดเห็นที่ต้องการแสดงออก การอธิบาย และอุทาหรณ์คือการอ้างอิง ตัวอย่าง ฯลฯ ที่สนับสนุนให้เห็นจริงเห็นจัง ส่วนสำนวนโวหารจะใช้แบบใดบ้าง โปรดศึกษาเรื่องสำนวนโวหารในหัวข้อต่อไป
          ตัวอย่างการเขียนเนื้อเรื่องแต่ละย่อหน้า 
          “อ๋า” เป็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ อายุแค่ ๑๒ ปีครั้งที่ลืมตาดูโลกได้แค่ ๓ เดือน แม่ก็ทอดทิ้ง ไป...ส่วนพ่อนั้นไม่เคยรักและห่วงใยอ๋าเลยสิ่งเดียวที่มีค่าที่สุดในชีวิตของพ่อคือ เฮโรอีน... ย่า...ลุง ... ป้าและอา ตอกย้ำให้อ๋าฟังเสมอว่า อย่าทำตัวเลว ๆ เหมือนพ่อแกที่ติดเฮโรอีนจนตาย” หรือ กลัวแกจะเจริญรอยตามพ่อเพราะเชื้อมันไม่ทิ้งแถวติดคุกหัวโตเหมือนพ่อแก” คำพูดสารพัดที่อ๋ารับฟังมาตั้งแต่ยังพอจำความได้ซึ่งอ๋าพยายามคิดตามประสาเด็กว่า เป็นคำสั่งสอน” …หรือ ประชดประชัน” กันแน่...
          ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของอ๋าถ้าเอ๋ยไปหลายคนคงรู้จักเพราะเป็นพวกเศรษฐีที่ค้าขาย เป็นหลักอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดชลบุรีมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ปู่กับย่ามีลูกทั้งหมด ๙ คน ทุกคนร่ำเรียนกันสูง ๆและออกมาประกอบธุรกิจร่ำรวยเป็นล่ำเป็นสัน ยกเว้นพ่อของอ๋า ซึ่งไม่ยอมเรียน.. ประพฤติตนเสียหาย ... คบเพื่อนชั่ว ...จนติดเฮโรอีน และฉีดเข้าเส้นจนตายคาเข็ม ผลาญเงินปู่กับย่าไปมากมาย ยังทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลป่นปี้ปู่ช้ำใจจนตาย ส่วนย่าอกตรมจมทุกข์อยู่จนทุกวันนี้ พวกลุง...ป้าและอาต่างพากันเกลียดพ่อมากและก็ลาม มาถึง อ๋า” ซึ่งเปรียบเสมือนลูกตุ้ม” ถ่วงวงศ์ตระกูล (คัดจากจันทิมา ไอ้เลือดชั่ว” คอลัมน์ อนาคตไทยฐานสัปดาห์วิจารณ์ ฉบับที่ ๖๑ (๗๑) วันที่ ๙ - ๑๕ มิ.ย. ๓๗ หน้า ๘๘ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียน พ.ศ. ๒๕๓๐) จากเนื้อหาในย่อหน้าต่าง ๆ ข้างต้นจะแบ่งเป็นส่วนต่าง ๆ ได้ดังนี้
          ๑. คือส่วนที่เป็นเนื้อหา
          ๒. คือส่วนที่เป็นการอธิบาย
          ๓. คือส่วนที่เป็นอุทาหรณ์หรือการอ้างอิง
          ๔. คือส่วนที่เป็นตัวอย่าง
          ๓. การเขียนส่วนท้ายหรือส่วนสรุป  ส่วนท้ายหรือส่วนสรุป ส่วนปิดเรื่องเป็นส่วนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับเนื้อหาส่วนอื่น ๆ โดยตลอดและเป็นส่วนที่บอกผู้อ่านว่าเรื่องราวที่เสนอมานั้นได้สิ้นสุดลงแล้ววิธีการเขียนส่วนท้ายมีด้วยกันหลายวิธี เช่น เน้นย้ำประเด็นหลักเสนอคำถามหรือข้อคิด สรุปเรื่อง เสนอความคิดของผู้เขียนขยายจุดประสงค์ของผู้เขียน หรือสรุปด้วยสุภาษิต คำคม สำนวนโวหารคำพังเพยอ้างคำพูดของบุคคล อ้างทฤษฎี หลักศาสนา หรือคำสอนและ บทร้อยกรองฯลฯ
          ๓.๑เน้นย้ำประเด็นหลักเช่น หน่วยงานของเราจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการที่รวดเร็ว ที่ซื่อตรง โปร่งใส ตรวจสอบได้เช่นนี้ต่อไป แม้การปฏิรูประบบราชการจะส่งผลให้หน่วยงานของเราต้องเปลี่ยนสังกัดไปอย่างไรก็ตาม นั่นเพราะเราตระหนักในบทบาทของเราในฐานะข้าราชการ” แม้ว่าปัจจุบันเราจะถูกเรียกว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ก็ตาม
          ๓.๒เสนอคำถามหรือข้อคิดให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณเช่น  เคราะห์กรรมทั้งหลายอันเกิดกับญาติพี่น้องและลูกหลานของผู้คนในบ้านเมืองของเรา อันเกิดจากความอำมหิตมักได้ของผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติดเหล่านี้เป็นสิ่งสมควรหรือไม่ กับคำว่า วิสามัญฆาตกรรม” ท่านที่อ่านบทความนี้จบลงคงมีคำตอบให้กับตัวเองแล้ว
          ๓.๓สรุปเรื่องเช่น  การกินอาหารจืด ร่างกายได้รับเกลือเล็กน้อย จะทำให้ชีวิตจิตใจร่าเริงแจ่มใสน้ำหนักตัวมากๆ จะลดลง หัวใจไม่ต้องทำหน้าที่หนัก ไตทำหน้าที่ได้ดีไม่มีบวมตามอวัยวะต่างๆ และเป็นการป้องกันโรคหัวใจ โรคไต หลอดเลือดแข็งความดันโลหิตสูง ข้ออักเสบ แผลกระเพาะอาหารและจะมีอายุยืนด้วย
          ๓.๔เสนอความคิดเห็นของผู้เรียนเช่น   การปฏิรูปกระบวนการเรียนการสอนจะประสบผลสำเร็จหรือไม่คงมิใช่แค่การเข้ารับการอบรมเทคนิค วิธีการสอนเพียงอย่างเดียวยังขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอันสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดคือตัวผู้สอนถ้าผู้สอนมีใจและพร้อมจะรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับความกระตือรือร้น ที่จะพัฒนาตนเองเพื่อกลุ่มเป้าหมายคือผู้เรียนการปฏิรูปกระบวนการเรียน การสอนก็จะประสบความสำเร็จได้
          ๓.๕ขยายจุดประสงค์ของผู้เขียน ควบคู่กับบทร้อยกรองเช่น     แม้อาหารการกินและการออกกำลังกายจะทำให้คนเราสวยงามตามธรรมชาติอยู่ได้นานแต่วันหนึ่งเราก็คงหนีไม่พ้นวัฏจักรของธรรมชาติ คือ การเกิด แก่ เจ็บและตายร่างกายและความงามก็คงต้องเสื่อมสิ้นไปตามกาลเวลาฉะนั้นก็อย่าไปยึดติดกับความสวยงามมากนักแต่ควรยึดถือความงามของจิตใจเป็นเรื่องสำคัญ เพราะสิ่งที่จะเหลืออยู่ในโลกนี้เมื่อความตายมาถึงคือ ความดีความชั่วของเราเท่านั้นดังพระราชนิพนธ์ของพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรสในเรื่องกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ว่า
          พฤษภกาสร              อีกกุญชรอันปลดปลง
      โททนต์เสน่งคง              สำคัญหมายในกายมี
      นรชาติวางวาย                มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
      สถิตทั่วแต่ชั่วดี                  ประดับไว้ในโลกา




 





 
 แนวทางการเขียนเรียงความ
          เมื่อได้ศึกษาองค์ประกอบอันจะนำไปใช้ในการเขียนเรียงความแล้วก่อนที่จะลงมือเขียนเรียงความผู้เขียนต้องเลือกเรื่องและประเภทของเรื่องที่จะเขียนหลังจากนั้นจึงวางโครงเรื่องให้ชัดเจนเพื่อเรียบเรียงเนื้อหาซึ่งการเรียบเรียงเนื้อหานี้ต้องอาศัยความสามารถในการเขียนย่อหน้าและการเชื่อมโยงย่อหน้าให้เป็นเนื้อหาเดียวกัน
          ๑. การเลือกเรื่องปัญหาสำคัญประการหนึ่งของผู้เขียนที่ไม่สามารถเริ่มต้นเขียนได้ คือไม่ทราบจะเขียนเรื่องอะไร วิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวคือหัดเขียนเรื่องใกล้ตัวของผู้เขียน หรือเรื่องที่ผู้เขียนมีประสบการณ์ดีรวมทั้งเรื่องที่ผู้เขียนมีความรู้เป็นอย่างดี หรือเขียนเรื่องที่สนใจเป็นเรื่องราว หรือเหตุการณ์ที่กำลังอยู่ในความสนใจของบุคคลทั่วไปนอกจากนี้ผู้เขียนอาจพิจารณาองค์ประกอบ ๔ ประการเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเลือกเรื่องที่จะเขียน ดังต่อไปนี้ก็ได้
          ๑.๑ กลุ่มผู้อ่านผู้เขียนควรเลือกเขียนเรื่องสำหรับกลุ่มผู้อ่านเฉพาะและควรเป็นกลุ่มผู้อ่านที่ผู้เขียนรู้จักดีทั้งในด้านการศึกษา ประสบการณ์ วัย ฐานะความสนใจและความเชื่อ
           ๑.๒ ลักษณะเฉพาะของเรื่องเรื่องที่มีลักษณะพิเศษจะดึงดูดใจให้ผู้อ่านสนใจ ลักษณะพิเศษดังกล่าวได้แก่ ความแปลกใหม่ ความถูกต้องแม่นยำ แสดงความมีรสชาติ
          ๑.๓ เวลาเรื่องที่จะเขียนหากเป็นเรื่องที่อยู่ในกาลสมัยหรือเป็นปัจจุบันจะมีผู้สนใจอ่านมาก ส่วนเรื่องที่พ้นสมัยจะมีผู้อ่านน้อยนอกจากนี้การให้เวลาในการเขียนของผู้เขียนก็เป็นสิ่งสำคัญถ้าผู้เขียนมีเวลามากก็จะมีเวลาค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อการเขียนและการอ้างอิงได้มากถ้าผู้เขียนมีเวลาน้อย การเขียนด้วยเวลาเร่งรัดก็อาจทำให้เนื้อหาขาดความสมบูรณ์ ด้านการอ้างอิง
          ๑.๔ โอกาส การเขียนเรื่องประเภทใดขึ้นอยู่กับโอกาสด้วย เช่นในโอกาสเทศกาลและวันสำคัญของทางราชการและทางศาสนาก็เลือกเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับโอกาสหรือเทศกาลนั้น ๆ เป็นต้น
          ๒. ประเภทของเรื่องที่จะเขียน  การแบ่งประเภทของเรื่องที่จะเขียนนั้นพิจารณาจากจุดมุ่งหมายในการเขียน ซึ่งแบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ
          ๒.๑ เรื่องที่เขียนเพื่อความรู้เป็นการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์รวมทั้งหลักการตลอดจนข้อเท็จจริงต่างๆใช้วิธีเขียนบอกเล่าหรือบรรยายรายละเอียด
          ๒.๒ เรื่องที่เขียนเพื่อความเข้าใจเป็นการอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจความรู้ หลักการ หรือประสบการณ์ต่าง ๆการเขียนเพื่อความเข้าใจมักควบคู่ไปกับการเขียนเพื่อให้เกิดความรู้
          ๒.๓ การเขียนเพื่อโน้มน้าวใจ  เป็นการเขียนเพื่อให้ผู้อ่านเชื่อถือและยอมรับเพื่อให้ผู้อ่านได้รับอรรถรสทางใจให้สนุกสนาน เพลิดเพลินไปกับข้อเขียนนั้น ๆ
         ๓. การวางโครงเรื่องก่อนเขียน  การเขียนเรียงความเป็นการเสนอความคิดต่อผู้อ่านผู้เขียนจึงต้องรวบรวมเลือกสรรและจัดระเบียบความคิดแล้วนำมาเรียบเรียงเป็นโครงเรื่อง การรวบรวมความคิด อาจจะรวบรวมข้อมูลจากประสบการณ์ของผู้เขียนเองนำส่วนที่เป็นประสบการณ์ตรงและประสบการณ์ทางอ้อม ซึ่งเกิดจากการฟัง การอ่านการพูดคุย ซักถาม เป็นต้น เมื่อได้ข้อมูลแล้วก็นำข้อมูลมาจัดระเบียบความคิด โดยจัดเรียงลำดับตามเวลา เหตุการณ์ ความสำคัญและเหตุผลแล้วจึงเขียนเป็นโครงเรื่อง เพื่อเป็นแนวทางให้งานเขียนอยู่ในกรอบไม่ออกนอกเรื่อง และสามารถนำมาเขียนขยายความเป็นเนื้อเรื่องที่สมบูรณ์เขียนชื่อเรื่องไว้กลางหน้ากระดาษ เลือกหัวข้อที่น่าสนใจที่สุดเป็นคำนำและเลือกหัวข้อที่น่าประทับใจที่สุดเป็นสรุป นอกนั้น เป็นเนื้อเรื่อง
          ๓.๑ ชนิดของโครงเรื่อง  การเขียนโครงเรื่องนิยมเขียน ๒ แบบ คือ โครงเรื่องแบบหัวข้อและโครงเรื่องแบบ ประโยค
               ๓.๑.๑ โครงเรื่องแบบหัวข้อ เขียนโดยใช้คำหรือวลีสั้น ๆ เพื่อเสนอประเด็นความคิด
               ๓.๑.๒ โครงเรื่องแบบประโยค เขียนเป็นประโยคที่สมบูรณ์ โครงเรื่องแบบนี้มีรายละเอียดที่ชัดเจนกว่าโครงเรื่องแบบหัวข้อ
          ๓.๒ ระบบในการเขียนโครงเรื่อง การแบ่งหัวข้อในการวางโครงเรื่องอาจแบ่งเป็น ๒ ระบบ คือ
               ๓.๒.๑ ระบบตัวเลขและตัวอักษร เป็นระบบที่นิยมใช้กันทั่วไปโดยกำหนดตัวเลขหรือประเด็นหลัก และตัวอักษรสำหรับประเด็นรอง ดังนี้
                    ๑) ................................................................................................
                          ก. ........................................................................................
                          ข. .........................................................................................
                    ๒) ................................................................................................
                          ก. ........................................................................................
                          ข. .........................................................................................
               ๓.๒.๒ ระบบตัวเลขเป็นการกำหนดตัวเลขหลักเดียวให้กับประเด็นหลักและตัวเลขสองหลัก และสามหลักให้กับประเด็นรอง ๆ ลงไป ดังนี้
                    ๑) .................................................................................................
                          ๑.๑ ......................................................................................
                          ๑.๒ .....................................................................................
                   ๒) .................................................................................................
                          ๒.๑ .....................................................................................
                          ๒.๒ ....................................................................................
         ๓.๓ หลักในการวางโครงเรื่องหลักในการวางโครงเรื่องนั้นควรแยกประเด็นหลักและประเด็นย่อยจากกันให้ชัดเจนโดยประเด็นหลักทุกข้อควรมีความสำคัญเท่ากันส่วนประเด็นย่อยจะเป็นหัวข้อที่สนับสนุน
ประเด็นหลัก ทั้งนี้ทุกประเด็นต้องต่อเนื่องและสอดคล้องกัน จึงจะเป็นโครงเรื่องที่ดี
ตัวอย่างโครงเรื่องแบบหัวข้อ
     เรื่องปัญหาการติดยาเสพติดของวัยรุ่นไทย
     ๑)   สาเหตุของการติดยาเสพติด
          ก.  ตามเพื่อน
          ข.  การหย่าร้างของบิดามารดา
          ค.  พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก
          ง.  การบังคับขู่เข็ญ
     ๒)   สภาพปัญหาของการติดยาเสพติดของวัยรุ่นไทย
          ก.  จำนวนผู้ติดยา
          ข.  การก่ออาชญากรรม
          ค.  การค้าประเวณี
     ๓)   แนวทางการแก้ไขปัญหา
          ก.  การสร้างภูมิต้านทานในครอบครัว
          ข.  การสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง
          ค.  กระบวนการบำบัดรักษาแบบผสมผสาน
ตัวอย่างโครงเรื่องแบบประโยค
     เรื่องปัญหาการติดยาเสพติดของวัยรุ่นไทย
     ๑)   สาเหตุของการติดยาเสพติด มีหลายสาเหตุทั้งสาเหตุที่เกิดจากตัวเองและจากสิ่งแวดล้อม
          ก.  เสพตามเพื่อน เพราะความอยากลอง คิดว่าลองครั้งเดียวคงไม่ติด
          ข.  บิดา มารดา หย่าร้างกัน ลูกอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำให้รู้สึกหว้าเหว่ เหงาและเศร้าลึกๆ
          ค.  พ่อแม่ให้เวลากับการทำงานหาเงินและการเข้าสังคม ไม่มีเวลาให้ครอบครัว
          ง.  ในโรงเรียนมีกลุ่มนักเรียนที่ทั้งเสพและค้ายาเสพติดเองใช้กำลังข่มขู่บีบบังคับให้ซื้อยา         
     ๒) สภาพปัญหาของการติดยาเสพติดของวัยรุ่นไทย
          ก.  จำนวนวัยรุ่นไทยที่ติดยาเสพติดในปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
          ข.  ปัญหาที่ตามมาของการติดยาเสพติดคือการก่ออาชญากรรมทุกประเภท
          ค.  ในหมู่วัยรุ่นหญิงที่ติดยาเสพติด มักตกเป็นเหยื่อของการค้าประเวณีในที่สุด
     ๓) แนวทางการแก้ไขปัญหา
          ก.  การให้ความรัก ความอบอุ่น และความเอื้ออาทร รวมทั้งการมีเวลาให้กับคนในครอบครัว เป็นภูมิต้านทานปัญหายาเสพติดได้อย่างดี
          ข.  การทำให้คนในชุมชนรักชุมชนช่วยเหลือแก้ปัญหาในชุมชนจะเป็นเกราะป้องกันปัญหายาเสพติดได้อย่างดี เพราะเขาร่วมกันสอดส่องดูและป้องกัน
              ชุมชนของตนเองจากยาเสพติด
          ค.  สังคมใดที่มีผู้คนสนใจใฝ่รู้ ใฝ่แสวงหาข้อมูลข่าวสารผู้คนจะมีความรู้เพียงพอที่จะพาตัวให้พ้นจากภัยคุกคามทุกรูปแบบด้วยปัญญาความรู้ที่มี
          ง.  กระบวนการบำบัดผู้ติดยามิให้กลับมาติดใหม่ ทำได้ด้วยการให้การรักษาทางยาควบคู่กับการบำบัดทางจิตใจ ด้วยการใช้การปฏิบัติทางธรรม ซึ่งจะเป็นภูมิต้านทานทางใจที่ถาวร
          ๔. การเขียนย่อหน้าการย่อหน้าเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะจะช่วยให้ผู้อ่านอ่านเข้าใจง่ายและอ่านได้เร็ว มีช่องว่างให้ได้พักสายตาผู้เขียนเรียงความได้ดีต้องรู้หลักในการเขียนย่อหน้า และนำย่อหน้าแต่ละย่อหน้ามาเชื่อมโยงให้สัมพันธ์กัน ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ต้องมีสาระเพียงประการเดียว ถ้าจะขึ้นสาระสำคัญใหม่ต้องขึ้นย่อหน้าใหม่ ดังนั้นการย่อหน้าจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสาระสำคัญที่ต้องการเขียนถึงในเนื้อเรื่องแต่อย่างน้อยเรียงความต้องมี ๓ ย่อหน้า คือย่อหน้าที่เป็นคำนำเนื้อเรื่องและสรุป
          ๔.๑ ส่วนประกอบย่อหน้า ย่อหน้า ๑ ย่อหน้าประกอบด้วยประโยคใจความสำคัญและประโยคขยายใจความสำคัญหลาย ๆ ประโยคมาเรียบเรียงต่อเนื่องกัน
          ๔.๒ ลักษณะของย่อหน้าที่ดี ย่อหน้าที่ดีควรมีลักษณะ ๓ ประการ คือ เอกภาพ สัมพันธภาพและสารัตถภาพ
               ๑)  เอกภาพ คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมีประโยคใจความสำคัญ ในย่อหน้าเพียงหนึ่งส่วนขยายหรือสนับสนุนต้องกล่าวถึงใจความสำคัญนั้น ไม่กล่าวนอกเรื่อง
               ๒)  สัมพันธภาพ คือการเรียบเรียงข้อความในย่อหน้าให้เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันมีการลำดับความอย่างมีระเบียบนอกจากนี้ยังควรมีความสัมพันธ์กับย่อหน้าที่มีมาก่อนหรือย่อหน้าที่ตามมาด้วย
               ๓)  สารัตภาพ คือการเน้นความสำคัญของย่อหน้าแต่ละย่อหน้าและของเรื่องทั้งหมดโดยใช้ประโยคสั้น ๆ สรุปกินความทั้งหมดอาจทำได้โดยการนำประโยคใจความสำคัญมาไว้ตอนต้น หรือตอนท้ายย่อหน้าหรือใช้สรุปประโยคหรือวลีที่มีลักษณะซ้ำ ๆ กัน
          ๕. การเชื่อมโยงย่อหน้า การเชื่อมโยงย่อหน้าทำให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างย่อหน้าเรียงความเรื่องหนึ่งย่อมประกอบด้วยย่อหน้าหลายย่อหน้าการเรียงลำดับย่อหน้าตามความเหมาะสมจะทำให้ข้อความ เกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องเดียวกันวิธีการเชื่อมโยงย่อหน้าแต่ละย่อหน้าก็เช่นเดียวกับการจัดระเบียบความคิดในการวางโครงเรื่อง ซึ่งมีด้วยกัน ๔ วิธี คือ
          ๕.๑  การลำดับย่อหน้าตามเวลา อาจลำดับตามเวลาในปฏิทินหรือตามเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นก่อนไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง
          ๕.๒  การลำดับย่อหน้าตามสถานที่ เรียงลำดับข้อมูลตามสถานที่หรือตามความ เป็นจริงที่เกิดขึ้น
          ๕.๓  การลำดับย่อหน้าตามความสำคัญ เรียงลำดับตามความสำคัญมากที่สุด สำคัญรองลงมาไปถึงสำคัญน้อยที่สุด
          ๕.๔  การลำดับย่อหน้าตามเหตุผล อาจเรียงลำดับจากเหตุไปหาผล หรือผลไปเหตุ
          ๖. สำนวนภาษา  ยึดหลักการใช้ภาษาดังนี้
          ๖.๑  ใช้ภาษาให้ถูกหลักภาษา เช่น การใช้ลักษณะนาม ปากกาใช้ว่าด้าม” รถใช้ว่า คัน” พระภิกษุใช้ว่า รูป” เป็นต้นนอกจากนี้ไม่ควรใช้สำนวนภาษาต่างประเทศ เช่นขณะที่ข้าพเจ้าจับรถไฟไปเชียงใหม่ ควรใช้ว่าขณะที่ข้าพเจ้าโดยสารรถไฟไปเชียงใหม่ บิดาของข้าพเจ้าถูกเชิญไปเป็นวิทยากรควรใช้ บิดาของข้าพเจ้าได้รับเชิญไปเป็นวิทยากร
          ๖.๒  ไม่ควรใช้ภาษาพูด เช่น ดีจัง เมื่อไหร่ ทาน ฯลฯ ควรใช้ภาษาเขียน ได้แก่ ดีมาก เมื่อไรรับประทาน
          ๖.๓  ไม่ควรใช้ภาษาแสลง เช่น พ่น ฝอย แจวอ้าว สุดเหวี่ยง ฯลฯ
          ๖.๔  ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์ยากที่ไม่จำเป็น เช่นปริเวทนาการ ฯลฯ ซึ่งมีคำที่ง่ายกว่าที่ควรใช้คือคำว่า วิตกหรือใช้คำที่ตนเองไม่ทราบความหมายที่แท้จริง เช่นบางคนใช้คำว่าใหญ่โตรโหฐาน คำว่า รโหฐานแปลว่า ที่ลับ ที่ถูกต้องใช้ใหญ่โตมโหฬาร เป็นต้น
          ๖.๕  ใช้คำให้ถูกต้องตามกาลเทศะและบุคคล เช่น คำสุภาพ คำราชาศัพท์ เป็นต้น
          ๖.๖  ผูกประโยคให้กระชับถ้าเจ้าดินช้าเช่นนี้เมื่อไรจะไปถึงที่หมายสักที” หรือประโยคว่าอันธรรมดาคนเราเกิดมาในโลกนี้ บ้างก็เป็นคนดี บ้างก็เป็นคนชั่ว” ควรใช้ว่าคนเราย่อมมีทั้งดีและชั่ว” เป็นต้น
          ๗. การใช้หมายเลขกำกับหัวข้อในเรียงความจะไม่ใช้หมายเลขกำกับ ถ้าจะกล่าวแยกเป็นข้อ ๆ จะใช้ว่าประการที่ ๑ ......ประการที่ ๒ ...... หรือประเภทที่ ๑ ..... ประเภทที่ ๒.....แต่จะไม่ใช้เป็น ๑ ..... ๒ ..... เรียงลำดับแบบการเขียนทั่วไป
          ๘. การแบ่งวรรคตอนและเครื่องหมายวรรคตอนเครื่องหมายวรรคตอน เช่น มหัพภาค (.) อัฒภาค (;) จุลภาค (,) นั้นไทยเลียนแบบฝรั่งมาจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ ถ้าใช้ต้องใช้ให้ถูกต้องถ้าไม่ใช้ก็ใช้แบบไทยเดิม คือการเว้นวรรคตอน โดยเว้นเป็นวรรคใหญ่ วรรคน้อยตามลักษณะประโยคที่ใช้
          ๙. สำนวนโวหาร สำนวนกับโวหารเป็นคำที่มีความหมายอย่างเดียวกันนำมาซ้อนกัน หมายถึงชั้นเชิงในการเรียบเรียงถ้อยคำ ในการเขียนเรียงความสำนวนโวหารที่ใช้มี ๕แบบ คือ
          ๙.๑  แบบบรรยาย หรือที่เรียกกันว่าบรรยายโวหารเป็นโวหารเชิงอธิบาย หรือเล่าเรื่องอย่างถี่ถ้วนโวหารแบบนี้เหมาะสำหรับเขียนเรื่องประเภทให้ความรู้ เช่น ประวัติตำนานบันทึกเหตุการณ์ ฯลฯ ตัวอย่างบรรยายโวหาร เช่น
          “ขณะที่เราขับรถขึ้นเหนือไปนครวัดเราผ่านบ้านเรือนซึ่งประดับด้วยธงสีน้ำเงินและแดงไว้นอกบ้านเราไปหยุดที่หน้าวัด ซึ่งประตูทางเข้าตกแต่งด้วยดอกไม้และเครือเถาไม้ ในเขตวัดสงฆ์ห่มจีวรสีส้มสนทนาปราศรัยกับผู้คนที่ไปนมัสการอยู่ในปะรำไม้ปลูกขึ้นเป็นพิเศษความประสงค์ที่เราไปหยุดที่วัดก็เพื่อก่อพระทรายอันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในวันขึ้นปีใหม่ตามศรัทธาของพุทธศาสนิกชน การก่อพระทรายเป็นพิธีบุญอธิษฐานขอพรอย่างหนึ่ง งานเทศกาลนี้เป็นเวลาที่วัดทุก ๆ วัดจะต้องเก็บกวาดให้สะอาดที่สุด มีการสรงน้ำพระพุทธรูปเป็นประจำปีเพื่อขอให้ฝนตกโดยเร็ว
          (จากสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยาวันปีใหม่ที่นครวัด” งานเทศกาลในเอเซีย เล่ม ๑โครงการความร่วมมือทางด้านการพิมพ์ ชุดที่ ๒ศูนย์วัฒนธรรมแห่งเอเซียของยูเนสโก
          ๙.๒  แบบพรรณนา หรือที่เรียกกันว่า พรรณนาโวหาร คือโวหารที่กล่าว เป็น เรื่องราวอย่างละเอียดให้ผู้อ่านนึกเห็นเป็นภาพโดยใช้ถ้อยคำที่ทำให้ผู้อ่านเกิดภาพในใจ (มโนภาพ)ขึ้นโวหารแบบนี้สำหรับชมความงามของบ้านเมือง สถานที่ บุคคล เกียรติคุณคุณความดีต่าง ๆ ตลอดจนพรรณนาอานุภาพของกษัตริย์และพรรณนาความรู้สึกต่าง ๆเช่น รัก โกรธ แค้น ริษยา โศกเศร้า เป็นต้น ตัวอย่างพรรณนาโวหาร เช่น
          “เมื่อถึงตอนน้ำตื้นพวกฝีพายต่างช่วยกันถ่อ ทางน้ำค่อยกว้างออกไปเป็นหนองน้ำใหญ่ แต่น้ำสงบนิ่ง น่าประหลาดป่าร่นแนวไปจากริมหนองปล่อยให้ต้นหญ้าสีเขียวจำพวกอ้อคอยรับแสงสะท้อนสีน้ำเงินแก่จากท้องฟ้าปุยเมฆสีม่วงลอยไปมาเหนือศีรษะ ทอดเงาลงมาใต้ใบบัวและดอกบัวสีเงินเรือนเล็กหลังหนึ่ง สร้างไว้บนเสาสูง แลดูดำเมื่อมมาแต่ไกลตัวเรือนมีต้นชะโอนสองต้น ซึ่งดูเหมือนจะขึ้นอยู่ในราวป่าเบื้องหลังเอนตัวลงเหนือหลังคา ทั้งต้นและใบคล้ายจะเป็นสัญญาณว่ามีความเศร้าโศกสุดประมาณ
     (จากทองสุข เกตุโรจน์ ทะเลใน” แปลและเรียบเรียงจากเรื่อง “The Lagoon” ของ Joseph Conrad การเขียนแบบสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง๒๕๑๙)
          ๙.๓ แบบอุปมา หรือที่เรียกว่าอุปมาโวหาร คือโวหารที่ยกเอาข้อความ มาเปรียบเทียบเพื่อประกอบความให้เด่นชัดขึ้นในกรณีที่หาถ้อยคำมาอธิบายให้เข้าใจ ได้ยากเช่นเรื่องที่เป็นนามธรรมทั้งหลายการจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจเด่นชัดควรนำสิ่งที่มีตัวตน หรือสิ่งที่คิดว่าผู้อ่านเคยพบมาเปรียบเทียบหรืออาจนำกิริยาอาการ ของสิ่งต่าง ๆ มาเปรียบเทียบก็ได้ เช่นเย็นเหมือนน้ำแข็ง ขาวเหมือนดั่งสำลี  ไวเหมือนลิง  บางทีอาจนำความรู้สึกที่สัมผัสได้ทางกายมาเปรียบเทียบเป็นความรู้สึกทางใจ เช่นร้อนใจดังไฟเผา รักเหมือนแก้วตา เป็นต้นโวหารแบบนี้มักใช้แทรกอยู่ในโวหารแบบอื่น ตัวอย่างอุปมาโวหาร เช่นความสวยเหมือนดอกไม้ เมื่อถึงเวลาจะร่วงโรยไปตามอายุขัยแต่ความดีเหมือนแผ่นดิน ตราบใดที่โลกดำรงอยู่ ผืนดินจะไม่มีวันสูญหายได้เลยความดีจึงเป็นของคู่โลกและถาวร กว่าความสวยควรหรือไม่ถ้าเราจะหันมาเทิดทูนความดีมากกว่าความสวย เราจะได้ทำแต่สิ่งที่ถูกเสียที
          ๙.๔ แบบสาธก หรือสาธกโวหาร สาธกหมายถึง ยกตัวอย่างมาอ้างให้เห็นสาธกโวหาร จึงหมายถึงโวหารที่ยกตัวอย่างมาประกอบอ้างเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่อง ให้ชัดเจนขึ้น ตัวอย่างที่ยกมาอาจจะเป็นตัวอย่างบุคคล เหตุการณ์หรือนิทาน โวหารแบบนี้มักแทรกอยู่ในโวหารแบบอื่น เช่นเดียวกับอุปมาโวหาร ตัวอย่างสาธกโวหารเช่น
          “... พึงสังเกตการบูชาในทางที่ผิดให้เกิดโทษ ดังต่อไปนี้   ในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์เมืองตักศิลามีเด็กวัยรุ่นเป็นลูกศิษย์อยู่หลายคนเรียนวิชาต่างกันตามแต่เขาถนัด มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งชื่อสัญชีวะอยู่ในหมู่นั้นเรียนเวทย์มนต์ เสกสัตว์ตายให้ฟื้นคืนชีพได้ตามธรรมเนียมการเรียนเวทย์มนต์ต้องเรียนผูกและเรียนแก้ ไปด้วยกันแต่เขาไม่ได้เรียนมนต์แก้” มาวันหนึ่งสัญชีวะกับเพื่อนหลายคนพากันเข้าป่าหาฟืนตามเคยได้พบเสือโคร่งตัวหนึ่งนอนตายอยู่ นี่แน่ะเพื่อน เสือตาย” สัญชีวะเอ่ยขึ้นข้าจะเสกมนต์ให้เสือตัวนี้ฟื้นคืนชีพขึ้น คอยดูนะเพื่อน” “แน่เทียวหรือ” เพื่อนคนหนึ่งพูด ลองปลุกมันให้คืนชีพลุกขึ้นดูซิ ถ้าเธอ สามารถ” แล้วเพื่อน ๆ อื่น ๆ ขึ้นต้นไม้คอยดู แน่ซี่น่า” สัญชีวะยืนยันแล้วเริ่มร่ายมนต์ เสกลงที่ร่างเสือพอเจ้าเสือฟื้นลืมตาลุกขึ้นยืนรู้สึกหิวมองเห็นสัญชีวะพอเป็นอาหารแก้หิวได้ จึงสะบัดแยกเขี้ยวอวดสัญชีวะและคำรามวิ่งปราดเข้ากัดก้านคอสัญชีวะล้มตายลงเมื่ออาจารย์ได้ทราบข่าวก็สลดใจและอาลัยรักในลูกศิษย์มากจึงเปล่งอุทานขึ้นว่า นี่แหละ ผลของการยกย่องในทางที่ผิดผู้ยกย่องคนเลวร้าย ยอมรับนับถือเขาในทางมิบังควรต้องได้รับทุกข์ถึงตายเช่นนี้เอง
     (จาก ฐะปะนีย์ นาครทรรพ การประพันธ์ ท. ๐๔๑ อักษรเจริญทัศน์๒๕๑๙ หน้า ๙)
          ๙.๕ แบบเทศน์ หรือเทศนาโวหาร คือโวหารที่อธิบายชี้แจงให้ผู้อ่านเชื่อถือ ตามโดยยกเหตุผล ข้อเท็จจริงอธิบายคุณโทษ แนะนำสั่งสอน ตัวอย่างเช่น
          “คนคงแก่เรียนย่อมมีปรีชาญาณฉลาดคิด ฉลาดทำ ฉลาดพูดและมีความรู้สึกสูง สำนึกในผิดชอบชั่วดีไม่กล้าทำในสิ่งที่ผิดที่ชั่ว เพราะรู้สึกละอายขวยเขินแก่ใจและรู้สึกสะดุ้ง หวาดกลัว ต่อผลร้ายอันพึงจะได้รับ รู้สึกอิ่มใจในความถูกต้องรู้สึกเสียใจในความผิดพลาด และรู้เท่าความถูกผิดนั้นว่ามิได้อยู่ที่ดวงดาวประจำตัว แต่อยู่ที่การกระทำของตัวเอง พึงทราบว่าความฉลาดคิด ฉลาดทำ ฉลาดพูดและความรู้สึกสูง ทำให้คิดดีที่จริงและคิดจริงที่ดี  ทำดีที่จริงทำจริงที่ดี และพูดดีที่จริง  พูดจริงที่ดี  นี่คือวิธีจรรยาของคนแก่เรียน
     (จาก ฐะปะนีย์ นาครทรรพ การประพันธ์ ท. ๐๔๑ อักษรเจริญทัศน์๒๕๑๙ หน้า ๘)  
          โวหารต่าง ๆดังกล่าวเมื่อใช้เขียนเรียงความเรื่องหนึ่ง ๆไม่ได้หมายความว่าจะใช้เพียงโวหารใดโวหารหนึ่งเพียงโวหารเดียวการเขียนจะใช้หลาย ๆ แบบประกอบกันไปแล้วแต่ความเหมาะสมตามลักษณะเนื้อเรื่องที่เขียน การเขียนเรียงความเป็นศิลปะ หลักการต่าง ๆ ที่วางไว้ไม่ได้เป็นหลักตายตัวอย่าง คณิตศาสตร์  วิทยาศาสตร์  ดังนั้นจึงเป็นเพียงแนวปฏิบัติและข้อเสนอแนะ ในการเขียนอาจพลิกแพลงได้ตามความเหมาะสมที่เห็นสมควร

ตัวอย่างเรียงความเรื่อง สามเส้า
          ครัวไทยแต่ก่อนครั้งหุงข้าวด้วยฟืนนั้นมีสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ ก้อนเส้า เรายังหาครัวอย่างนี้ดูได้ในชนบทก้อนเส้านั้นอาจเป็นดินหรือก้อนหิน มีสามก้อนตั้งชนกันมีช่องว่างสำหรับใส่ฟืนก้อนเส้าสามก้อนนี้เองเป็นที่สำหรับตั้งหม้อข้าวหม้อแกงอันเป็นอาหารประจำชีวิต ของคนไทย ดู ๆ ไปก้อนเส้าสามก้อนนั้นก็เป็นสัญลักษณ์ของชาติไทยเพราะชาติไทยแต่ไหน แต่ไรมาก็ตั้งอยู่บนก้อนเส้าสามก้อนนั้น มีชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ พระพุทธศาสนา ก็ประกอบด้วยก้อนเส้าสามก้อนคือ พระพุทธพระธรรม พระสงฆ์
          ก้อนเส้าสามก้อนหรือสามเส้านี้เมื่อคิดไปอีกทีก็เป็นคติอันดีที่เราน่าจะยึดเป็นเครื่องเตือนใจภาษิตจีนมีว่า คนเราจะมีชีวิตมั่นคง จะต้องนั่งบนม้าสามขาม้าสามขาตามภาษิตจีนนั้นหมายถึง สิ่งสำคัญสามอย่างที่พยุงชีวิตเราสิ่งสำคัญนั้นจะเป็นอะไรก็ได้แต่ต้องมีสามขา ถ้ามีเพียงสองชีวิตก็ยังขาดความมั่นคง ภาษิตจีนนี้ฟังคล้าย ๆ สามเส้า” คือว่าชีวิตของเราตั้งอยู่บนก้อนสามก้อน จึงมีความมั่นคง
           ก็ก้อนเส้าทั้งสามสำหรับชีวิตนี้คืออะไรต่างคนอาจหาก้อนเส้าทั้งสามสำหรับชีวิตของตัวเองได้บางท่านอาจยึดพระไตรลักษณ์คือ ความทุกข์ ๑ ความไม่เที่ยง ๑ และความไม่ใช่ ตัวของเรา ๑เป็นการยึดเพื่อทำใจมิให้ชอกช้ำขุ่นมัวในยามที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือจะใช้เป็นเครื่องเตือนมิให้เกิดความทะเยอะทะยานตนทำลายสันติสุขของชีวิตก็ได้บางคนยึด ไตรสิกขาเป็นก้อนเส้าทั้งสามแห่งการยังชีวิตคือ ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นหลัก แต่บางคน ที่เล็งประโยชน์ในทางโลกมีหลักว่าเขาต้องประกอบอาชีพสามทาง เช่นว่า รับราชการหรือรับจ้างทางหนึ่งหารายได้พิเศษในยามว่างทางหนึ่งและศึกษาหาความรู้ต่อกันอันเป็นเครื่องเสริมอาชีพทางหนึ่ง ก้อนเส้าสามก้อนของบางคนอาจเป็นเช่นนี้ และเมื่อมีก้อนเส้าสามก้อนดังนี้ ก็เปรียบเหมือนตั้งหม้อข้าวบนก้อนเส้าสามก้อนในครัวซึ่งแน่นอนว่าเรา จะต้องได้กินข้าวถ้าตั้งเพียงสองก้อนเราก็ไม่แน่ใจว่าหม้อข้าวจะหกคว่ำลงเมื่อใด
          สำหรับข้าพเจ้าเองก้อนเส้าทั้งสามของข้าพเจ้าก็คือ ตัวของตัวเอง ความรู้และโอกาสเมื่อกล่าวดังนี้ท่านอาจยังสงสัยว่าข้าพเจ้ายึดสามเส้านี้อย่างไรจะขอเริ่มด้วยตัวเอง คนเรา ต้องยึดตัวเองก่อน คือ ต้องทำตัวไว้ในความดีต้องรักตัวรักตัวนี้คือการพยายามตั้งตัวไว้ใน ความดี ไม่ใช่การเห็นแก่ตัวหรือการนึกถึงตัวเป็นใหญ่ คนเราต้องรักตัวเองก่อน จึงจะรัก คนอื่นได้ช่วยผู้อื่นได้
          ความรู้เป็นสิ่งสำคัญมากนโปเลียนกล่าวไว้ว่า คนเราจะมีปัญญาความสามารถเพียงใดก็ตามถ้าไม่มีโอกาสเสียแล้ว เราก็ไม่อาจใช้ความรู้ความสามารถได้และไม่อาจประสบความสำเร็จ หรือชื่อเสียงเกียรติยศได้ โอกาสจึงเป็นสิ่งสำคัญแต่ว่าโอกาสหรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง ช่องทางนั้นไม่ใช่จะมาหาเราเสมอไปเราต้องไปหามัน ต้องค้นหามัน และเมื่อพบแล้วต้องหยิบฉวยทันทีอย่างที่พูดกันว่าอย่าละโอกาส
          เมื่อเราดำรงตนดีแล้ว พยายามหาความรู้ไว้เสมอและแสวงหาโอกาสช่องทางแล้ว ก็ไม่น่าสงสัยว่าเราจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความรุ่งเรืองไม่ได้
          สามเส้าดังที่กล่าวนั้นคือ สามเส้าที่ข้าพเจ้ายึดเป็นหลักประจำชีวิตสามเส้าเป็นคติของชีวิต ข้าพเจ้าเชื่อว่าผู้ยึดคตินี้ คือคติที่ว่าชีวิตที่มั่นคงต้องอยู่บนสามเส้านั้น ต้องเป็นผู้ที่พบความสำเร็จเป็นแน่
          (คัดจาก คณะอาจารย์ หมวดวิชาภาษาไทย วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา การใช้ภาษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา๒๕๑๗ หน้า ๑๓๐ - ๑๓๑)

สรุป
          เรียงความเป็นการเขียนถึงความรู้ความคิดและประสบการณ์ของตนให้ผู้อื่นทราบโดยเขียนคำนำให้น่าสนใจ   เขียนเนื้อเรื่องให้ชัดเจนและเขียนสรุปให้ผู้อ่านพอใจ นอกจากนี้ก็ต้องใช้สำนวนโวหารให้ถูกแบบและถูกกาลเทศะด้วย










































































ข้อมูลศึกษาเพิ่มเติม รายวิชากรุงเทพศึกษา ดูได้ที่นี่ด้วยนะคะ


แต่ถ้าใครคิดจะ copy เลย เสียใจด้วย เว็ปนี้ทำไม่ได้จร้า ถ้าลอกตามก้อพอไหวอยู่


ไม่มีความคิดเห็น:

การทำ cpr by kroo poo

https://www.youtube.com/watch?v=NIEii0kZLzg&t=76s https://www.youtube.com/watch?time_continue=99&v=zKd-TseS-T8&feature=emb...