https://drive.google.com/file/d/1Y5NElZz4pCr-8EUy_mDUSv600Zph5OMQ/view?usp=drivesdk
สมัยสุโขทัย
https://drive.google.com/file/d/1jJvkD002afGAI4kHTLRY1aeQwS_ANkS8/view?usp=drivesdk
สมัยอยุธยา
https://drive.google.com/file/d/1I8XtPnSI2Z0sir6v6GjCZuhM3-ypSbzr/view?usp=drivesdk
สม้ยธนบุรี
https://drive.google.com/file/d/1eB1tPjMHCuHrhmgAZS2WYS1eVj8ez8hm/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๑
https://drive.google.com/file/d/1Gok3WNIYkCiQkGQ7Go7acj3sxbQ1R1ls/view?usp=drivesdk รัชกาลที่ ๒
https://drive.google.com/file/d/1FPnFdlT_KsTNLhjiEkt6XZubp8aMdZ0S/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๓
https://drive.google.com/file/d/10S1dkg_CHgVFNOcMpSiTPr938xwG7jqb/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๔
https://drive.google.com/file/d/1tbq1ZRdnp0i1RhriqHX6YEeeOn3RzXsl/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๕
https://drive.google.com/file/d/1YeeP972-tIvghu3u-vos604ST_sKpuJa/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๖
https://drive.google.com/file/d/1VX0lqwlL8Yj4OJ1BLG-VtAmuct_4RQVX/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๗
https://drive.google.com/file/d/1bm4qVYTsw68KoTZ8PssGViJX8pHylsu3/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๘
https://drive.google.com/file/d/1-aiKT5s2aNKhHuefNkdIGhJV0NbZYFlP/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๙
https://drive.google.com/file/d/1O39NfDcSiycVnfUuhQ8EO7wiVuOO6fnk/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๑๐
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙
https://www.youtube.com/watch?v=pJBMgUdKonw
ละครประวัติศาสตร์ โดย นศ.กศน.เขตบางบอน ศรช.ดีสมบุญ
https://www.youtube.com/watch?v=25INkDWqDN8
ละครประวัติศาสตร์ โดย นศ.กศน.เขตบางบอน ศรช.ดีสมบุญ
https://sites.google.com/site/prawatisastrklum6/home บทเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทย
สมัยสุโขทัย
https://drive.google.com/file/d/1jJvkD002afGAI4kHTLRY1aeQwS_ANkS8/view?usp=drivesdk
สมัยอยุธยา
https://drive.google.com/file/d/1I8XtPnSI2Z0sir6v6GjCZuhM3-ypSbzr/view?usp=drivesdk
สม้ยธนบุรี
https://drive.google.com/file/d/1eB1tPjMHCuHrhmgAZS2WYS1eVj8ez8hm/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๑
https://drive.google.com/file/d/1Gok3WNIYkCiQkGQ7Go7acj3sxbQ1R1ls/view?usp=drivesdk รัชกาลที่ ๒
https://drive.google.com/file/d/1FPnFdlT_KsTNLhjiEkt6XZubp8aMdZ0S/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๓
https://drive.google.com/file/d/10S1dkg_CHgVFNOcMpSiTPr938xwG7jqb/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๔
https://drive.google.com/file/d/1tbq1ZRdnp0i1RhriqHX6YEeeOn3RzXsl/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๕
https://drive.google.com/file/d/1YeeP972-tIvghu3u-vos604ST_sKpuJa/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๖
https://drive.google.com/file/d/1VX0lqwlL8Yj4OJ1BLG-VtAmuct_4RQVX/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๗
https://drive.google.com/file/d/1bm4qVYTsw68KoTZ8PssGViJX8pHylsu3/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๘
https://drive.google.com/file/d/1-aiKT5s2aNKhHuefNkdIGhJV0NbZYFlP/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๙
https://drive.google.com/file/d/1O39NfDcSiycVnfUuhQ8EO7wiVuOO6fnk/view?usp=drivesdk
รัชกาลที่ ๑๐
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙
https://www.youtube.com/watch?v=pJBMgUdKonw
ละครประวัติศาสตร์ โดย นศ.กศน.เขตบางบอน ศรช.ดีสมบุญ
https://www.youtube.com/watch?v=25INkDWqDN8
ละครประวัติศาสตร์ โดย นศ.กศน.เขตบางบอน ศรช.ดีสมบุญ
https://sites.google.com/site/prawatisastrklum6/home บทเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทย
@@@@@@@@@@@@@@@@
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
https://youtu.be/uj5-xSwrmI8 รัชกาลที่ 1
https://youtu.be/EWxVyZ0FTpM รัชกาลที่ 2
https://youtu.be/QPPeM1Ob4lQ รัชกาลที่ 3
https://youtu.be/yocHVmgk08U รัชกาลที่ 4
https://youtu.be/gaGFF05eyX8 รัชกาลที่ 5
https://youtu.be/EeeNKSOoAYA รัชกาลที่ 6
https://youtu.be/pLTOwgXzeOA รัชกาลที่ 7
https://youtu.be/29YhSBXkgA4 รัชกาลที่ 8
*********************************************************************
หนังสืองานพระศพ
จัดทำเสร็จแล้วครับ 50 หน้า
(เปิดอ่านเหมือนหนังสือได้เลยครับ)
http://www.m-culture.go.th/th/ebook/Glossary_about_HM_King_Bhumibol_Adulyadej's_Funeral/mobile/index.html#p=1
ในหลวง : ผู้ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม
ในหลวง : ผู้ทรงครองแผ่นดินโดยธรรมนับแต่วันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระบรมราชโองการพระราชทานอารักขาแก่ประชาชนชาวไทย เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 เป็นปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” เป็นต้นมา ตราบจนถึงปัจจุบันใกล้จะครบ 60 ปี แห่งการดำรงสิริราชสมบัติ ณ วันที่ 9 มิ.ย. พ.ศ. 2549 ที่จะถึงนี้แล้วนั้น เราจะพบว่าพระราชจริยาวัตรและพระราช-กรณียกิจที่ทรงปฏิบัติตลอดมา ได้เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วกันว่าทรงดำเนินตามแนวพระราชปณิธานอย่างแน่วแน่ และทรงถึงพร้อมด้วยหลักราชธรรมที่พระมหากษัตริย์พึงปฏิบัติทุกประการไม่ว่าจะเป็นราชสังคห-วัตถุ 4 , จักรวรรดิวัตร 12 , ขัตติยพละ 5 , พรหมวิหารธรรม 4 และ ทศพิธราชธรรม ทั้งนี้ด้วย ทรงตระหนักถึงความจำเป็นและความสำคัญของศีลธรรมทางศาสนา อันจะนำมาซึ่งความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันของคนหมู่มาก จึงทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างที่ดีเสมอมา ในที่นี้จักได้อัญเชิญพระราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติในการปกครองประเทศโดย “ธรรม” เฉพาะทศพิธราชธรรมมาเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนว่า นอกจากจะทรงมีพระปรีชาสามารถแล้วยังต้องทรงใช้พระวิริยอุตสาหะ และ ความเสียสละ มากมายเพียงใด จึงบรรลุถึงซึ่งประโยชน์สุขแก่มหาชนคนไทยได้เช่นทุกวันนี้
ทศพิธราชธรรม หรือ ธรรมของพระราชา 10 ประการ นั้น ประกอบด้วย ทาน, ศีล, ปริจจาคะ, อาชชวะ, มัททวะ, ตปะ, อักโกธะ, อวิหิงสา, ขันติ และ อวิโรธะ
- ทาน นั้นมีสองอย่างได้แก่ธรรมทาน กับ อามิสทาน ธรรมทานคือการให้สติปัญญา, ความรู้, คุณธรรม, ความถูกต้อง เป็นการให้ความดีให้ความสุขสงบเย็น ข้อนี้พสกนิกรชาวไทยทุกคนได้รับอยู่เสมอ จากพระบรมราโชวาท-พระราชดำรัสที่ได้พระราชทานในโอกาสต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดสติปัญญา สามารถนำไปปฏิบัติ แก้ปัญหาอุปสรรคต่างๆ และตั้งอยู่ในความดีมีสุข ส่วนอามิสทานคือการให้วัตถุเป็นทานนั้น เราก็เห็นกันจากการที่ได้พระราชทานอาหาร ยารักษาโรค เมล็ดพันธุ์พืช และของใช้จำเป็นอื่นๆในการเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรตามท้องถิ่นทุรกันดารที่เขามีความขาดแคลน รวมไปถึงผู้ประสบภัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติก็ล้วนได้รับพระราชทานความช่วยเหลือมาโดยตลอด เรียกได้ว่าทรงบำเพ็ญทานบารมีอย่างมากมายและครบถ้วนสมบูรณ์
- ศีล เป็นคุณธรรมพื้นฐานของมนุษย์ ผู้มีศีล คือผู้มีเจตนางดเว้นจากการประทุษร้าย หรือทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่นไม่ว่าจะด้วยกาย หรือวาจา ผู้มีศีลย่อมสำรวมรักษาความประพฤติไม่ให้เป็นไปในทางทุจริตหรือในทางเบียดเบียนไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น นอกจากจะเสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนาตามขัตติยราชประเพณี และทรงรักษาศีลอย่างเคร่งครัดแล้ว เมื่อทรงลาผนวชก็ทรงรักษาศีลของฆราวาส และทรงประพฤติธรรมทั้งยังชักชวนให้ประชาชนปฏิบัติตาม แม้ผู้มิได้นับถือพุทธศาสนา ก็ทรงสนับสนุนให้ศาสนิกเหล่านั้น ปฏิบัติตามหลักศีลธรรมที่ตนนับถือ เนื่องจากทรงตระหนักดีว่าทุกศาสนาล้วนมีหลักคำสอนที่มุ่งให้ทุกคนเว้นจากความชั่วทำความดีด้วยกันทั้งนั้น
- ปริจจาคะ การบริจาคหรือเสียสละความสุขสำราญอันเป็นการบริจาคชั้นสูงยิ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานอกจากจะทรงเสียสละทั้งกำลังพระวรกาย และพระสติปัญญา ตลอดจนความสุขส่วนพระองค์ในการมุ่งบำเพ็ญพระราชกรณียกิจบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่อาณาประชาราษฎรและเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญแล้ว ยังทรงชักชวนและให้กำลังใจแก่ข้าราชการและประชาชนให้เป็นผู้มีความเสียสละต่อบ้านเมืองด้วย ดังที่ทรงมีพระราชดำรัสแก่ภรรยาและบุตรข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เสียชีวิตจากการถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ลอบสังหารรายหนึ่งว่า “คนเราเลือกเวลาตายไม่ได้ ต้องตายด้วยกันทุกคน แต่การตายในหน้าที่เช่นนี้ เป็นการตายที่มีเกียรติยิ่ง”
- อาชชวะ ความซื่อตรง เป็นคุณธรรมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยึดถือในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจมาโดยตลอดนับแต่ทรงดำรงสิริราชสมบัติสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ทรงซื่อตรงทั้งต่อพระองค์เอง ต่อหน้าที่ ต่อประชาชน และชาติบ้านเมือง
- มัททวะ ความอ่อนโยน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีมัททวะธรรมความสุภาพอ่อนโยน เป็นที่ประจักษ์ทรงมีพระกิริยา พระวาจา และพระหฤทัยสุภาพ ไม่เคยทรงแสดงกิริยาดูหมิ่น หรือแข็งกระด้างแก่ผู้ใด แม้บุคคลที่ต่ำกว่า จึงได้ทรงเป็นที่รักยิ่งของประชาชน
- ตปะ การบำเพ็ญตน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญเพียรเผากิเลสตัณหา มิให้ความหลงไหลในความสุข ความปรนเปรอ หรือความเกียจคร้านเข้ามาครอบงำพระทัยได้ จึงทรงมีพระตบะอย่างยอดเยี่ยมทำให้สามารถประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่บรรลุผลสำเร็จเป็นที่น่าอัศจรรย์ ทั้งยังทรงมีพระราชดำรัสสั่งสอนประชาชนให้มีความขยันหมั่นเพียรไม่เกียจคร้านตอนหนึ่งที่ว่า “ขอให้ทุกคนพยายามช่วยกัน และพยายามที่จะขยันหมั่นเพียร พยายามอดทนต่อไป แล้วสร้างความเจริญรุ่งเรืองแก่ส่วนรวม แก่บ้านของเรา แก่ครอบครัว และแก่ตนเอง ถ้าทุกคนมีความอดทนมีความเพียรพยายามก็เชื่อว่าหมู่บ้านนี้จะเจริญรุ่งเรือง”
- อักโกธะ ความไม่โกรธ และไม่อาฆาตพยาบาท คุณธรรมข้อนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงบำเพ็ญเป็นที่ประจักษ์แก่ทั้งประชาชนชาวไทยและนานาประเทศมาแล้ว ดังเมื่อครั้งเสด็จฯ เยือนต่าง-ประเทศ (ออสเตรเลีย) เมื่อปี พ.ศ. 2505 แล้วได้มีประชาชนของประเทศนั้นมาคลี่ป้าย ไม่ต้อนรับผู้เผด็จการเมืองไทย ซึ่งจากพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เรื่อง “ความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ” มีอยู่ตอนหนึ่งที่จะขออัญเชิญมาแสดงเพื่อยืนยันถึงความเป็นผู้ไม่โกรธ ไม่อาฆาตพยาบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดังนี้
“ข้าพเจ้าเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระทัยเย็นเป็นที่สุด ข้าพเจ้าเองรู้สึกว่าสั่นด้วยความน้อยใจปนความโกรธ นึกสงสารตัวเองเป็นกำลังว่าเรามาเหนื่อย ๆ เพื่อมาเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศเรากับประเทศเขา กลับมาโดนคลี่ป้ายไล่ทันทีที่มาถึง ใช่ว่าเราจะขอมาเมื่อไร เขาเชิญเรามาต่างหาก พระเจ้าอยู่หัว-กลับรับสั่งปลอบว่า ให้เฉยๆไว้ ทำใจเย็นเข้าสู้ อย่าได้แสดงความรู้สึก เช่น เสียใจ หรือน้อยใจออกมาให้ทางฝ่ายบ้านเมืองเห็นเป็นอันขาด อันที่จริงก็เป็นการกระทำของผู้ก่อกวนเพียงคนเดียวหรือส่วนน้อย รัฐบาลออสเตรเลียได้ถวายพระเกียรติเต็มที่และราษฎรก็ต้อนรับเราด้วยความไมตรีอันดียิ่ง อาจจะเป็นความประสงค์ของตนส่วนเดียวก็ได้ที่จะแกล้งทำให้เราโกรธจนหัวเสียไป ตลอดเวลา 18 วันที่ท่องเที่ยวอยู่ในประเทศออสเตรเลีย พระเจ้าอยู่หัวทรงย้ำไม่ให้ข้าพเจ้าลืมว่า เมื่อกี้เป็นการกระทำของคนส่วนน้อย ไม่ใช่เป็นการกระทำของประชาชนทั่วประเทศ…”
- อวิหิงสา ความไม่เบียดเบียน การมีอวิหิงสาธรรมนั้น นอกจากจะงดเว้น ไม่เบียดเบียนผู้อื่นทั้งชีวิตและทรัพย์สินแล้ว การสำรวมตน การถือความสันโดษ ประหยัด เรียบง่าย ไม่ทำตัวเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง หรือมีพิธีรีตองจนเกินควร ก็เป็นการปฏิบัติเพื่อความไม่เบียดเบียนด้วยเช่นกัน ซึ่งพระราชจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นย่อมเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีอวิหิงสาธรรมอยู่เต็มเปี่ยม ยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน
- ขันติ ความอดทน ในเรื่องของความอดทนนี้ จากความทันสมัยของสื่อในปัจจุบัน ย่อมทำให้คนทั่วไปได้มีโอกาสเห็นถึงความเหนื่อยยากของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อพระราชทานความช่วยเหลือราษฎรในท้องถิ่นห่างไกลคมนาคมได้เป็นอย่างดีว่าต้องทรงใช้ความอดทนเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นการอดทนต่อความทุกข์ยากขณะเดินทางในที่กันดารที่แม้แต่คนธรรมดาก็ไม่ต้องการจะไป อดทนต่อแดด ต่อฝน ต่ออากาศที่ร้อนหรือหนาว แม้ความหิวกระหาย ซึ่งภาวะของความไม่สะดวกสบายเช่นนี้สามารถเกิดได้หลายอย่างพร้อมกันในการเสด็จฯ เพียงท้องที่เดียว แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีขันติธรรม ได้เสด็จฯ ไปทุกถิ่น ทุกที่ ที่ประชาชนมีความลำบากยากเข็ญโดยไม่ทรงย่อท้อ ตลอดระยะเวลายาวนานหลายสิบปี เพื่อราษฎรของพระองค์จะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
- อวิโรธนะ คือการวางตนเป็นหลักหนักแน่นในธรรม ไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความถูกต้องดีงาม ความสุจริต-ยุติธรรม คุณธรรมข้อนี้ นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงถึงพร้อมในพระราช-กรณียกิจที่ทรงปฏิบัติด้วยพระองค์เอง แล้ว ยังได้ทรงมีพระบรมราโชวาทเตือนสติ ผู้มีหน้าที่รักษากฎหมายด้วยว่า
“การพิจารณาตัดสินอรรถคดีนั้นกระทำตามตัวบทกฎหมาย ตัวบทกฎหมายจึงสำคัญมาก และจะต้องมีบทบัญญัติอันถูกต้องเป็นธรรม ปราศจากช่องโหว่… ความไม่เป็นธรรมหากจะเกิดขึ้นในการตัดสินอรรถคดี ไม่ใช่จะอยู่ที่ตัวบทกฎหมาย แต่อยู่ที่ตัวบุคคล ตราบใดผู้ที่ใช้กฎหมายมีความสุจริต มีจรรยา และมโนธรรมของนักกฎหมายมั่นคงแล้ว ก็ไม่ควรจะเกิดความผิดพลาด”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยึดหลักธรรมเช่นนี้ในการปกครองประเทศ จึงนับเป็นบุญอันมหาศาลของคนไทยที่ได้เกิดมาอยู่ภายใต้ร่มพระบารมี ได้มีความสุขสงบร่มเย็นเสมอมา แม้บางครั้งจะเกิดเหตุการณ์ไม่น่าพึงใจแต่ก็สงบลงได้ด้วยพระเมตตาบารมีทุกครั้ง
ในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม นี้ จึงขอเชิญชวนชาวไทยได้พร้อมใจกันน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคลให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเป็นมิ่งขวัญแก่ประชาชนชาวไทย ทรงพระเกษมสำราญเป็นนิจนิรันดรกาล เทอญ
เรียบเรียงจาก - หนังสือพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ พระราชธรรมพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช : พระภิกษุปรัชญา อภิวโส (สร้อยประดิษฐ์) : ธรรมสภา : มิถุนายน 2539
- สำนักข่าวไทย : 12 มิถุนายน 2539
ทศพิธราชธรรม หรือ ธรรมของพระราชา 10 ประการ นั้น ประกอบด้วย ทาน, ศีล, ปริจจาคะ, อาชชวะ, มัททวะ, ตปะ, อักโกธะ, อวิหิงสา, ขันติ และ อวิโรธะ
- ทาน นั้นมีสองอย่างได้แก่ธรรมทาน กับ อามิสทาน ธรรมทานคือการให้สติปัญญา, ความรู้, คุณธรรม, ความถูกต้อง เป็นการให้ความดีให้ความสุขสงบเย็น ข้อนี้พสกนิกรชาวไทยทุกคนได้รับอยู่เสมอ จากพระบรมราโชวาท-พระราชดำรัสที่ได้พระราชทานในโอกาสต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดสติปัญญา สามารถนำไปปฏิบัติ แก้ปัญหาอุปสรรคต่างๆ และตั้งอยู่ในความดีมีสุข ส่วนอามิสทานคือการให้วัตถุเป็นทานนั้น เราก็เห็นกันจากการที่ได้พระราชทานอาหาร ยารักษาโรค เมล็ดพันธุ์พืช และของใช้จำเป็นอื่นๆในการเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรตามท้องถิ่นทุรกันดารที่เขามีความขาดแคลน รวมไปถึงผู้ประสบภัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติก็ล้วนได้รับพระราชทานความช่วยเหลือมาโดยตลอด เรียกได้ว่าทรงบำเพ็ญทานบารมีอย่างมากมายและครบถ้วนสมบูรณ์
- ศีล เป็นคุณธรรมพื้นฐานของมนุษย์ ผู้มีศีล คือผู้มีเจตนางดเว้นจากการประทุษร้าย หรือทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่นไม่ว่าจะด้วยกาย หรือวาจา ผู้มีศีลย่อมสำรวมรักษาความประพฤติไม่ให้เป็นไปในทางทุจริตหรือในทางเบียดเบียนไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น นอกจากจะเสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนาตามขัตติยราชประเพณี และทรงรักษาศีลอย่างเคร่งครัดแล้ว เมื่อทรงลาผนวชก็ทรงรักษาศีลของฆราวาส และทรงประพฤติธรรมทั้งยังชักชวนให้ประชาชนปฏิบัติตาม แม้ผู้มิได้นับถือพุทธศาสนา ก็ทรงสนับสนุนให้ศาสนิกเหล่านั้น ปฏิบัติตามหลักศีลธรรมที่ตนนับถือ เนื่องจากทรงตระหนักดีว่าทุกศาสนาล้วนมีหลักคำสอนที่มุ่งให้ทุกคนเว้นจากความชั่วทำความดีด้วยกันทั้งนั้น
- ปริจจาคะ การบริจาคหรือเสียสละความสุขสำราญอันเป็นการบริจาคชั้นสูงยิ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานอกจากจะทรงเสียสละทั้งกำลังพระวรกาย และพระสติปัญญา ตลอดจนความสุขส่วนพระองค์ในการมุ่งบำเพ็ญพระราชกรณียกิจบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่อาณาประชาราษฎรและเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญแล้ว ยังทรงชักชวนและให้กำลังใจแก่ข้าราชการและประชาชนให้เป็นผู้มีความเสียสละต่อบ้านเมืองด้วย ดังที่ทรงมีพระราชดำรัสแก่ภรรยาและบุตรข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เสียชีวิตจากการถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ลอบสังหารรายหนึ่งว่า “คนเราเลือกเวลาตายไม่ได้ ต้องตายด้วยกันทุกคน แต่การตายในหน้าที่เช่นนี้ เป็นการตายที่มีเกียรติยิ่ง”
- อาชชวะ ความซื่อตรง เป็นคุณธรรมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยึดถือในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจมาโดยตลอดนับแต่ทรงดำรงสิริราชสมบัติสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ทรงซื่อตรงทั้งต่อพระองค์เอง ต่อหน้าที่ ต่อประชาชน และชาติบ้านเมือง
- มัททวะ ความอ่อนโยน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีมัททวะธรรมความสุภาพอ่อนโยน เป็นที่ประจักษ์ทรงมีพระกิริยา พระวาจา และพระหฤทัยสุภาพ ไม่เคยทรงแสดงกิริยาดูหมิ่น หรือแข็งกระด้างแก่ผู้ใด แม้บุคคลที่ต่ำกว่า จึงได้ทรงเป็นที่รักยิ่งของประชาชน
- ตปะ การบำเพ็ญตน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญเพียรเผากิเลสตัณหา มิให้ความหลงไหลในความสุข ความปรนเปรอ หรือความเกียจคร้านเข้ามาครอบงำพระทัยได้ จึงทรงมีพระตบะอย่างยอดเยี่ยมทำให้สามารถประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่บรรลุผลสำเร็จเป็นที่น่าอัศจรรย์ ทั้งยังทรงมีพระราชดำรัสสั่งสอนประชาชนให้มีความขยันหมั่นเพียรไม่เกียจคร้านตอนหนึ่งที่ว่า “ขอให้ทุกคนพยายามช่วยกัน และพยายามที่จะขยันหมั่นเพียร พยายามอดทนต่อไป แล้วสร้างความเจริญรุ่งเรืองแก่ส่วนรวม แก่บ้านของเรา แก่ครอบครัว และแก่ตนเอง ถ้าทุกคนมีความอดทนมีความเพียรพยายามก็เชื่อว่าหมู่บ้านนี้จะเจริญรุ่งเรือง”
- อักโกธะ ความไม่โกรธ และไม่อาฆาตพยาบาท คุณธรรมข้อนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงบำเพ็ญเป็นที่ประจักษ์แก่ทั้งประชาชนชาวไทยและนานาประเทศมาแล้ว ดังเมื่อครั้งเสด็จฯ เยือนต่าง-ประเทศ (ออสเตรเลีย) เมื่อปี พ.ศ. 2505 แล้วได้มีประชาชนของประเทศนั้นมาคลี่ป้าย ไม่ต้อนรับผู้เผด็จการเมืองไทย ซึ่งจากพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เรื่อง “ความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ” มีอยู่ตอนหนึ่งที่จะขออัญเชิญมาแสดงเพื่อยืนยันถึงความเป็นผู้ไม่โกรธ ไม่อาฆาตพยาบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดังนี้
“ข้าพเจ้าเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระทัยเย็นเป็นที่สุด ข้าพเจ้าเองรู้สึกว่าสั่นด้วยความน้อยใจปนความโกรธ นึกสงสารตัวเองเป็นกำลังว่าเรามาเหนื่อย ๆ เพื่อมาเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศเรากับประเทศเขา กลับมาโดนคลี่ป้ายไล่ทันทีที่มาถึง ใช่ว่าเราจะขอมาเมื่อไร เขาเชิญเรามาต่างหาก พระเจ้าอยู่หัว-กลับรับสั่งปลอบว่า ให้เฉยๆไว้ ทำใจเย็นเข้าสู้ อย่าได้แสดงความรู้สึก เช่น เสียใจ หรือน้อยใจออกมาให้ทางฝ่ายบ้านเมืองเห็นเป็นอันขาด อันที่จริงก็เป็นการกระทำของผู้ก่อกวนเพียงคนเดียวหรือส่วนน้อย รัฐบาลออสเตรเลียได้ถวายพระเกียรติเต็มที่และราษฎรก็ต้อนรับเราด้วยความไมตรีอันดียิ่ง อาจจะเป็นความประสงค์ของตนส่วนเดียวก็ได้ที่จะแกล้งทำให้เราโกรธจนหัวเสียไป ตลอดเวลา 18 วันที่ท่องเที่ยวอยู่ในประเทศออสเตรเลีย พระเจ้าอยู่หัวทรงย้ำไม่ให้ข้าพเจ้าลืมว่า เมื่อกี้เป็นการกระทำของคนส่วนน้อย ไม่ใช่เป็นการกระทำของประชาชนทั่วประเทศ…”
- อวิหิงสา ความไม่เบียดเบียน การมีอวิหิงสาธรรมนั้น นอกจากจะงดเว้น ไม่เบียดเบียนผู้อื่นทั้งชีวิตและทรัพย์สินแล้ว การสำรวมตน การถือความสันโดษ ประหยัด เรียบง่าย ไม่ทำตัวเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง หรือมีพิธีรีตองจนเกินควร ก็เป็นการปฏิบัติเพื่อความไม่เบียดเบียนด้วยเช่นกัน ซึ่งพระราชจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นย่อมเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีอวิหิงสาธรรมอยู่เต็มเปี่ยม ยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน
- ขันติ ความอดทน ในเรื่องของความอดทนนี้ จากความทันสมัยของสื่อในปัจจุบัน ย่อมทำให้คนทั่วไปได้มีโอกาสเห็นถึงความเหนื่อยยากของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อพระราชทานความช่วยเหลือราษฎรในท้องถิ่นห่างไกลคมนาคมได้เป็นอย่างดีว่าต้องทรงใช้ความอดทนเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นการอดทนต่อความทุกข์ยากขณะเดินทางในที่กันดารที่แม้แต่คนธรรมดาก็ไม่ต้องการจะไป อดทนต่อแดด ต่อฝน ต่ออากาศที่ร้อนหรือหนาว แม้ความหิวกระหาย ซึ่งภาวะของความไม่สะดวกสบายเช่นนี้สามารถเกิดได้หลายอย่างพร้อมกันในการเสด็จฯ เพียงท้องที่เดียว แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีขันติธรรม ได้เสด็จฯ ไปทุกถิ่น ทุกที่ ที่ประชาชนมีความลำบากยากเข็ญโดยไม่ทรงย่อท้อ ตลอดระยะเวลายาวนานหลายสิบปี เพื่อราษฎรของพระองค์จะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
- อวิโรธนะ คือการวางตนเป็นหลักหนักแน่นในธรรม ไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความถูกต้องดีงาม ความสุจริต-ยุติธรรม คุณธรรมข้อนี้ นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงถึงพร้อมในพระราช-กรณียกิจที่ทรงปฏิบัติด้วยพระองค์เอง แล้ว ยังได้ทรงมีพระบรมราโชวาทเตือนสติ ผู้มีหน้าที่รักษากฎหมายด้วยว่า
“การพิจารณาตัดสินอรรถคดีนั้นกระทำตามตัวบทกฎหมาย ตัวบทกฎหมายจึงสำคัญมาก และจะต้องมีบทบัญญัติอันถูกต้องเป็นธรรม ปราศจากช่องโหว่… ความไม่เป็นธรรมหากจะเกิดขึ้นในการตัดสินอรรถคดี ไม่ใช่จะอยู่ที่ตัวบทกฎหมาย แต่อยู่ที่ตัวบุคคล ตราบใดผู้ที่ใช้กฎหมายมีความสุจริต มีจรรยา และมโนธรรมของนักกฎหมายมั่นคงแล้ว ก็ไม่ควรจะเกิดความผิดพลาด”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยึดหลักธรรมเช่นนี้ในการปกครองประเทศ จึงนับเป็นบุญอันมหาศาลของคนไทยที่ได้เกิดมาอยู่ภายใต้ร่มพระบารมี ได้มีความสุขสงบร่มเย็นเสมอมา แม้บางครั้งจะเกิดเหตุการณ์ไม่น่าพึงใจแต่ก็สงบลงได้ด้วยพระเมตตาบารมีทุกครั้ง
ในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม นี้ จึงขอเชิญชวนชาวไทยได้พร้อมใจกันน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคลให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเป็นมิ่งขวัญแก่ประชาชนชาวไทย ทรงพระเกษมสำราญเป็นนิจนิรันดรกาล เทอญ
เรียบเรียงจาก - หนังสือพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ พระราชธรรมพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช : พระภิกษุปรัชญา อภิวโส (สร้อยประดิษฐ์) : ธรรมสภา : มิถุนายน 2539
- สำนักข่าวไทย : 12 มิถุนายน 2539
ความสำคัญ วันฉัตรมงคล เป็นวันที่ระลึกในการครบรอบปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงรับพระบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทยโดยสมบูรณ์ คือพระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489 แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาอยู่ ณ ทวีปยุโรป จนกระทั่งทรงบรรลุนิติภาวะแล้วจึงได้เสร็จนิวัติประเทศไทย และรัฐบาลไทยได้น้อมเกล้าฯ จักพระราชพิธีบรมราชาภิเษกถวาย เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2493 เหล่าพสกนิกรชาวไทย ได้ถือเอาวันที่ 5 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันฉัตรมงคลรำลึก
พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก
ขั้นเตรียมงานพระราชพิธี เริ่มตั้งแต่พิธีตักน้ำ และทำพิธีเสกน้ำ ณ เจดีย์สถานสำคัญจากสถานที่ตักน้ำ ก่อนที่จะส่งเข้ามาทำพิธีต่อไปในพระนคร น้ำที่เสกนี้ใช้สำหรับถวายสำหรับถวายเป็น น้ำอภิเษก และสรงมุรธาภิเษก โดยมีระเบียบกำหนดให้ใช้น้ำจากแม่น้ำ 5 สาย ได้แก่ แม่น้ำคงคา ยมนา อิรวดี มหิ และสรภู ในชมพูทวีป หรือที่เรียกว่า "ปัญจมหานที" แต่เนื่องจากประเทศไทยอยู่ห่างจากชมพูทวีปมาก ไม่สะดวกในการเดินทาง จึงเปลี่ยนมาใช้น้ำจากแม่น้ำ18 แห่ง จากภายในพระราชอาณาจักรแทน นอกจากนี้ยังมีพิธีจารึกดวงพระราชสมภพในพระสุพรรณบัฏ และแกะพระราชสัญจกร
พิธีเบื้องต้น เริ่มตั้งแต่ตั้งนำวงด้าย จุดเทียนชัย และเจริญพระพุทธมนต์
พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก เริ่มจากสรงมุรธาภิเษก ต่อจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไปประทับเหนือพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้ง 8 กล่าวคำถวายพระพรชัยมงคล และถวายดินแดนให้อยู่ในความคุ้มครองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อจากนั้นทรงรับน้ำอภิเษก ขึ้นสู่พระที่นั่งภัทรบิฐพระราชอาสน์องค์ใหม่ พระมหาราชครูเริ่มร่ายเวทย์พิธีพราหมณ์เมื่อร่ายเวทย์เสร็จแล้วจึงกราบทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงพระปรมาภิไธย ถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ คือ เครื่องหมายแสดงความเป็นพระมหากษัตริย์ ได้แก่พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกร วาลวิชนี ฉลองพระบาทเมื่อทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาสวมพระเศียร เจ้าพนักงานจะประโคมดนตรี ทหารยิงปืนใหญ่ พระสงฆ์เคาะระฆัง และสวดชัยมงคลคาถาทั่วพระราชอาณาจัก หลังจากนั้นพราหมณ์ถวายพระแสงศาสตราวุธเป็นอันเสร็จพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก
พิธีเบื้องปลาย เมือเสร็จพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกแล้ว จะเสด็จออก ณ มหาสมาคม เพื่อให้เหล่าข้าราชการ และประชาชนได้ถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในวโรกาสทรงเข้าพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก และตั้งแต่รัชกาลที่ 7 เป็นต้นมา ได้มีพระราชพิธีประกาศสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินี นอกจากนั้นเสร็จพระราชดำเนินเพื่อประกาศพระองค์เป็นศาสนูปถัมภกษัตริยาธิราชเจ้า ในพระบรมมหาราชวัง
เสด็จเยี่ยมราษฎร เมื่อทรงเสร็จพระราชพิธีต่างๆ ที่เกี่ยงข้องแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนิน ให้ราษฎรได้มีโอกาสชมพระบารมี
การจัดพระราชพิธีเฉลิมฉลองวันฉัตรมงคลในอดีต
แต่เดิมเป็นงานพิธีเฉลิมฉลองของเจ้าพนักงานในพระราชฐานที่มีหน้าที่รักษาเครื่องราชชูปโภคและพระทวารประตูวัง ได้จัดการสมโภชสังเวยเครื่องราชูปโภคที่ตนรักษาทุกปีในหกเดือน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเจ้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำดิว่า ในอารยประเทศย่อมนับถือว่า วันคล้ายวันบรมราชาบรมราชาภิเษกเป็นวันมงคลสมัยควรเฉลิมฉลอง จึงทรงริเริ่มวันฉัตรมงคลขึ้นแต่เนื่องจากเป็นธรรมเนียมใหม่อธิบายใหฟังก็ไม่เข้าใจ เผอิญวันบรมราชาภิเษกไปตรงกับวันสมโภชเครื่องราชูปโภคที่มีแต่เดิม จึงทรงอธิบายว่า ฉัตรมงคลเป็นวันสมโภชเครื่องราชูปโภคทำให้ไม่มีใครติดใจสงสัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเจ้าอยู่หัวได้มีการเฉลิมฉลองโดยนิมนต์พระสงฆ์มาสวดเจริญพุทธมนต์ในวันขึ้น 13 ค่ำเดือน 6 รุ่งขึ้นมีการถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทด้วยเหตุนี้จึงถือว่า การเฉลิมฉลองพระราชพิธีฉัตรมงคลเริ่มมีในรัชกาลของพระบาลสมเด็จพระจอมเจ้าเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งแรก
ในสมัยรัชกาลที่ 5 วันบรมราชาภิเษกตรงกับเดือน 12 จะโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฉัตรมงคลในเดือน 12 ก็ไม่มีผู้ใหญ่ท่านใดยินยอม จึงทรงแก้ไขด้วยการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยตราจุลจอมเกล้าสำหรับตระกูลขึ้น ให้มีพระราชทานตรานี้ตรงตรงกับวันคล้ายบรมราชาภิเษก ท่านผู้หลักผู้ใหญ่จึงยินยอมให้เลื่อนงานฉัตรมงคลมาตรงกับวันบรมราชาภิเษก แต่ยังให้รักษาประเพณีสมโภชเครื่องราชูโภคอยู่ตามเดิม รูปงานวันฉัตรมงคลจึงเป็นดังนี้จนถึงปัจจุบัน
แต่เดิมเป็นงานพิธีเฉลิมฉลองของเจ้าพนักงานในพระราชฐานที่มีหน้าที่รักษาเครื่องราชชูปโภคและพระทวารประตูวัง ได้จัดการสมโภชสังเวยเครื่องราชูปโภคที่ตนรักษาทุกปีในหกเดือน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเจ้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำดิว่า ในอารยประเทศย่อมนับถือว่า วันคล้ายวันบรมราชาบรมราชาภิเษกเป็นวันมงคลสมัยควรเฉลิมฉลอง จึงทรงริเริ่มวันฉัตรมงคลขึ้นแต่เนื่องจากเป็นธรรมเนียมใหม่อธิบายใหฟังก็ไม่เข้าใจ เผอิญวันบรมราชาภิเษกไปตรงกับวันสมโภชเครื่องราชูปโภคที่มีแต่เดิม จึงทรงอธิบายว่า ฉัตรมงคลเป็นวันสมโภชเครื่องราชูปโภคทำให้ไม่มีใครติดใจสงสัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเจ้าอยู่หัวได้มีการเฉลิมฉลองโดยนิมนต์พระสงฆ์มาสวดเจริญพุทธมนต์ในวันขึ้น 13 ค่ำเดือน 6 รุ่งขึ้นมีการถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทด้วยเหตุนี้จึงถือว่า การเฉลิมฉลองพระราชพิธีฉัตรมงคลเริ่มมีในรัชกาลของพระบาลสมเด็จพระจอมเจ้าเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งแรก
ในสมัยรัชกาลที่ 5 วันบรมราชาภิเษกตรงกับเดือน 12 จะโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฉัตรมงคลในเดือน 12 ก็ไม่มีผู้ใหญ่ท่านใดยินยอม จึงทรงแก้ไขด้วยการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยตราจุลจอมเกล้าสำหรับตระกูลขึ้น ให้มีพระราชทานตรานี้ตรงตรงกับวันคล้ายบรมราชาภิเษก ท่านผู้หลักผู้ใหญ่จึงยินยอมให้เลื่อนงานฉัตรมงคลมาตรงกับวันบรมราชาภิเษก แต่ยังให้รักษาประเพณีสมโภชเครื่องราชูโภคอยู่ตามเดิม รูปงานวันฉัตรมงคลจึงเป็นดังนี้จนถึงปัจจุบัน
การจัดงานวันฉัตรมงคลในปัจจุบัน ในขั้นตอนการจัดงานวันฉัตรมงคลในปัจจุบัน มักกำหนดให้เป็น 3 วัน คือ วันที่ 3 พฤษภาคม มีงานบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน คือ พิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่พระบรมราชบุพการี ซึ่งเป็นพิธีสงฆ์ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ซึ่งในวันนี้ได้เพิ่มพระราชพิธีตรึงหมุดธงชัยเฉลิมพลที่จะพระราชทานแก่หน่วยทหารบางหน่วยเข้าไว้ด้วย
ในวันที่ 4 พฤษภาคม เป็นวันเริ่มพระราชพิธีฉัตรมงคล เจ้าพนักงานจะได้อัญเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นใต้พระมหาปฎลเศวตฉัตร พระครูหัวหน้าพราหมณ์อ่านประกาศพระราชพิธีฉัตรมงคล แล้วทรงสดับพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์
ในวันที่ 5 ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ทรงบูชาเครื่องกกุธภัณฑ์ พราหมณ์เบิกแว่นเวียนเทียนสมโภช พระมหาเศวตฉัตรและราชกกุธภัณฑ์
ตอนเย็นพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าแก่ผู้มีความดีความชอบ แล้วเสด็จนมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร และถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าที่ปราสาทพระเทพบิดร เป็นเสร็จพระราชพิธี
ในวันฉัตรมงคลสำนักพระราชวังได้เปิดปราสาทหลายแห่งให้ประชาชนได้เข้าชมและถวายบังคม
งานพระราชพิธีฉัตรมงคล เป็นเครื่องหมายยืนยันว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติมาครบรอบปีด้วยดีอีกวาระหนึ่ง และตลอดเวลาที่ผ่านมา พระองค์ได้ประกอบพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ และปวงชนชาวไทยนับอเนกอนันต์
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ประชาชนชาวไทยจึงได้จัดให้มีการเฉลิมฉลองเนื่องในวันฉัตรมงคลเป็นประจำทุกปี
และเนื่องในมหามงคลสมัย ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติครบรอบปี 50 ปีในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2539 ทางราชการจัดงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษก เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระอันเป็นมงคลยิ่ง
ในวันที่ 4 พฤษภาคม เป็นวันเริ่มพระราชพิธีฉัตรมงคล เจ้าพนักงานจะได้อัญเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นใต้พระมหาปฎลเศวตฉัตร พระครูหัวหน้าพราหมณ์อ่านประกาศพระราชพิธีฉัตรมงคล แล้วทรงสดับพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์
ในวันที่ 5 ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ทรงบูชาเครื่องกกุธภัณฑ์ พราหมณ์เบิกแว่นเวียนเทียนสมโภช พระมหาเศวตฉัตรและราชกกุธภัณฑ์
ตอนเย็นพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าแก่ผู้มีความดีความชอบ แล้วเสด็จนมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร และถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าที่ปราสาทพระเทพบิดร เป็นเสร็จพระราชพิธี
ในวันฉัตรมงคลสำนักพระราชวังได้เปิดปราสาทหลายแห่งให้ประชาชนได้เข้าชมและถวายบังคม
งานพระราชพิธีฉัตรมงคล เป็นเครื่องหมายยืนยันว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติมาครบรอบปีด้วยดีอีกวาระหนึ่ง และตลอดเวลาที่ผ่านมา พระองค์ได้ประกอบพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ และปวงชนชาวไทยนับอเนกอนันต์
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ประชาชนชาวไทยจึงได้จัดให้มีการเฉลิมฉลองเนื่องในวันฉัตรมงคลเป็นประจำทุกปี
และเนื่องในมหามงคลสมัย ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติครบรอบปี 50 ปีในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2539 ทางราชการจัดงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษก เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระอันเป็นมงคลยิ่ง
กิจกรรมที่ควรปฏิบัติเนื่องในวันฉัตรมงคล
1. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการ
2. ร่วมทำบุญตักบาตร ประกอบพิธีทางศาสนาถวายเป็นพระราชกุศล
3. น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยพร้อมเพรียงกัน กล่าวคำถวายอาศิรวาทราชสดุดี ถวายชัยมงคลให้ทรงพระเกษมสำราญ ทรงเจริญพระชนมายุยิ่งยืนนาน เป็นมหามิ่งขวัญแก่พสกนิกรชาวไทยไปชั่วกาลยิ่งยืนนาน
1. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการ
2. ร่วมทำบุญตักบาตร ประกอบพิธีทางศาสนาถวายเป็นพระราชกุศล
3. น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยพร้อมเพรียงกัน กล่าวคำถวายอาศิรวาทราชสดุดี ถวายชัยมงคลให้ทรงพระเกษมสำราญ ทรงเจริญพระชนมายุยิ่งยืนนาน เป็นมหามิ่งขวัญแก่พสกนิกรชาวไทยไปชั่วกาลยิ่งยืนนาน
แหล่งอ้างอิง
1. ธนากิต วันสำคัญของไทย. กรุงเทพฯ : ชมรมเด็ก,2541.
2. ธนากิต ประเพณี พิธีมงคล และ วันสำคัญของไทย. กรุงเทพฯ : ชมรมเด็ก,2539.
3. วรนุช อุษณกร. ประวัติวันสำคัญที่ควรรู้จัก. กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์,2528.
1. ธนากิต วันสำคัญของไทย. กรุงเทพฯ : ชมรมเด็ก,2541.
2. ธนากิต ประเพณี พิธีมงคล และ วันสำคัญของไทย. กรุงเทพฯ : ชมรมเด็ก,2539.
3. วรนุช อุษณกร. ประวัติวันสำคัญที่ควรรู้จัก. กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์,2528.
ข่าวในหลวงเสด็จโครงการพระราชดำริ "ชั่งหัวมัน" จ.เพชรบุรี
http://www.krobkruakao.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81/82969/%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B4-%E0%B8%88-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5.html
รูปเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2555 กิจกรรม "ลงนามถวายพระพร ในหลวง และพระราชินี"
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.544981632182523.140362.100000120745834&type=3
บทเพลง "ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป" อัสนี วสันต์
http://www.youtube.com/watch?v=QCqa2JIipBA&feature=g-vrec
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
เพลงเห่เรือ การแสดงแสงสีเสียง ทุ่งมะขามหย่อง ผืนแผ่นดินแห่งพระมหากรุณาธิคุณ
สิ่งที่เราควรรู้
Published on May 25, 2012 by cosovo999
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น